“เอกา โกลบอล” ผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร แบรนด์คนไทยรายใหญ่ของโลก เดินหน้าช่วยเอสเอ็มอีไทยแข่งขันบนเวทีโลก Q1/66 จัดโรดโชว์ 3 ภูมิภาค เผยมุมมองตลาดแพคเกจจิ้งพลาสติกปีหน้า มีทั้งโอกาสและความท้าทาย จับตากระแสรักษ์โลกเพื่อความยั่งยืน Sustainable Growth กำหนดเทรนด์ตลาดโลก เล็งปั้นยอดขายกลุ่มสินค้าไบโอเบสท์เติบโตเท่าตัว
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า มองสถานการณ์ปี 2566 ตลาดในประเทศน่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่เบาบางลง บริษัทจึงเตรียมความพร้อมเดินหน้าช่วยเหลือและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไทย โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและขนมหวาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อก้าวสู่การทำธุรกิจระดับโลก โดยนำบรรจุภัณฑ์ของบริษัทไปใช้บรรจุอาหารเพื่อยืดระยะเวลาการจัดเก็บได้นานขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถด้านการขนส่งในระยะทางที่ไกลกว่าเดิม ถือเป็นการช่วยปิดจุดอ่อนของเอสเอ็มอีธุรกิจอาหารได้อย่างดี และยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตด้วย
ทั้งนี้ ภายในไตรมาสแรกของปี 2566 บริษัทจะจัดโรดโชว์ 3 ภูมิภาค เพื่อให้ความรู้และเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีไทยทั่วประเทศเข้าถึงนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุของบริษัท โดยจะเริ่มต้นจากภูมิภาคแรก คือ ภาคใต้ จัดที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ถัดมาจะเป็นภาคเหนือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
“บริษัทเล็งเห็นความสำคัญและศักยภาพเอสเอ็มอีธุรกิจอาหารไทย จึงตั้งใจจะช่วยเหลือและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีโอกาสทางธุรกิจยิ่งขึ้น เราเห็นโมเดลของลูกค้าเอสเอ็มอีขนมหวานในอินเดียที่นำบรรจุภัณฑ์ของบริษัทไปใช้จากที่มียอดซื้อแค่หลักหมื่นชิ้นต่อปี มาวันนี้ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจจนขยายตัวกลายเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ซื้อบรรจุภัณฑ์มากขึ้นเป็นปีละสิบล้านชิ้น เราจึงเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการอาหารไทยจะมีโอกาสจะเติบโตได้เช่นกัน”
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วโลก มองว่าเทรนด์ธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดทั่วโลก ซึ่งสอดรับไปตามกระแสของผู้บริโภคที่จริงจังและเอาใจใส่เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงความชัดเจนด้านมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนสินค้านำเข้าที่คาดว่าจะเกิดอย่างรวดเร็วขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ในไทยต่างออกมาประกาศปรับแผนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจังในปี 2025 ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมตัวให้เร็ว หากล่าช้า ไม่สามารถโต้คลื่นอุปสรรคนี้ได้ ธุรกิจจะถูกการแทรกแซงอย่างแน่นอน
สำหรับบรรจุภัณฑ์ของ เอกา โกลบอล สามารถรีไซเคิลได้ 100% อยู่ในวงจรของ Circular Economy ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ หากบริษัทขยายไลน์บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มที่ทำจากวัสดุไบโอเบสท์ (Bio-Based) ได้มากขึ้น จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่คำนึงและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เชื่อว่าในอนาคตก็จะสมบูรณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้แก่ บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล ซึ่งบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และตั้งเป้ายอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ประมาณ 5% ของยอดขายรวม
ทั้งนี้ เอกา โกลบอล กำหนดเป้าหมายในปี 2566 จะผลักดันยอดขายกลุ่มธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet-Food) ปี 2566 คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ จะมีอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25% ซึ่งเป็นการเติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Bio Based ทำให้ยอดขายเติบโตไปในระดับ 1,800 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มยอดขายในปี 2565 คาดว่าจะเห็นตัวเลขแตะระดับ 1,400-1,500 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตมากกว่า 30-35% จากปี 2564 ที่ทำได้ราว ๆ 900-1,000 ล้านบาท
“ในปี 2566 จะผลักดันยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ กรีนโปรดักส์ มากขึ้น เราเริ่มต้นคิดค้นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและประสบความสำเร็จจนเริ่มมียอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์แล้วในปีนี้ ราว ๆ 5% ของยอดขายรวม โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ เช่น บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดและสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล” นายชัยวัฒน์กล่าว