“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์ Infinity 2023 เริ่มต้นกระจายโมเดลธุรกิจ “Smart City” ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หลังพิสูจน์ความสำเร็จแล้วในเขตอีอีซี โดยปีนี้จะเห็นภาพชัดใน 5 จังหวัดใหม่ ขยับไปด้วยกันทั้งเครือตั้งแต่ที่พักอาศัย โรงแรม รีเทล จนถึงหน่วยธุรกิจเฮลธ์แคร์
บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางโรคระบาด โดยเมื่อปี 2565 บริษัทปิดยอดขายที่กว่า 41,000 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 18,500 ล้านบาท พร้อมขยายตัวต่อในปี 2566 ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหลังโควิด-19
“ธีมปีนี้คือเที่ยวทั่วไทยไปกับออริจิ้น คือเราจะขยายออกไปต่างจังหวัดมากกว่าที่เคย และเราจะเน้นการจ้างงานในท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าพื้นที่” พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออริจิ้น กล่าวถึงภาพใหญ่ของแผนในปีนี้
การขยายไปต่างจังหวัดของบริษัทจะเน้นการไปพัฒนาแบบมิกซ์ยูส มีหลายรูปแบบธุรกิจอยู่ร่วมกันในพื้นที่ หรือถ้าเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ก็จะพัฒนาแบบครบวงจรแบบ “Smart City”
ที่ผ่านมา Smart City แบบออริจิ้นมีการพัฒนาแล้วทั้งในกรุงเทพฯ ที่รามอินทรา มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันส่วนที่พักอาศัยมียอดขายแล้ว 90% ขณะที่ต่างจังหวัดมีใน จ.ระยอง มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่พักอาศัยขายแล้ว 70% อีกแห่งหนึ่งคือที่แหลมฉบัง-ศรีราชา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โครงการนี้ที่พักอาศัยขายหมด sold out เรียบร้อยแล้ว
โครงการรูปแบบนี้เป็นการจัดแบ่งที่ดินให้เป็นเมืองในตัวเอง ด้านหน้าอาจจะมีทั้งโรงแรม รีเทล คอนโดมิเนียม และถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ด้านหลังอาจจะพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบเพิ่มได้ด้วย ยิ่งในปีนี้ออริจิ้นมี บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาเสริมทัพด้านธุรกิจสุขภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ในโครงการเหล่านี้ก็จะมีองค์ประกอบด้านธุรกิจสุขภาพผนวกเข้าไปในจุดที่เหมาะสม
เปิดเพิ่มอีก 5 จังหวัด เริ่มบุกเมืองท่องเที่ยว
อย่างที่เห็นว่าที่ผ่านมาออริจิ้นบุกไปในจังหวัดอีอีซีเป็นหลัก แต่หลังจากนี้บริษัทจะเริ่มพัฒนา Smart City ในเมืองท่องเที่ยวและเมืองที่มีจุดเด่นด้านเศรษฐกิจในแง่อื่นเพิ่มเติม โดยมีแผนดังนี้
- ภูเก็ต – จุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก
- หัวหิน – จุดหมายการพักผ่อนริมทะเล ส่วนหนึ่งในแผน Thailand Riviera
- เขาใหญ่ – จุดหมายการท่องเที่ยวแบบนันทนาการ ประตูสู่ภาคอีสาน
- ขอนแก่น – เมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน และเป็นจุดหมาย MICE City
- เชียงใหม่ – เมืองจุดหมายของการเกษียณอายุทั้งคนไทยและ expat
“การพัฒนาเหล่านี้เป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ และต่อไปเราจะขยายไปเมืองรอบข้างได้โดยอาจจะทำในไซส์เล็กลงมาให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เช่น เมื่อมีอยุธยาก็ขยายไปนครสวรรค์หรือสระบุรี มีภูเก็ตก็ขยายเข้าพังงาหรือกระบี่ มีระยองแล้วก็ขยายเข้าไปในจันทบุรี เป็นต้น” พีระพงศ์กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว
สรุปตัวเลขสำคัญของปี 2566 ในแผนออริจิ้น ได้แก่
- เปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดฯ 42 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
- ลงทุนกลุ่มโรงแรมและคลังสินค้า 30,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 45,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท (รวมโครงการ JV ซึ่งเป็น 50% ของยอดโอนทั้งหมด)
- เป้าหมายรับรู้รายได้ 19,000 ล้านบาท
แบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” กลับมาพร้อมเป็นอาวุธบุกต่างจังหวัด
“อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด รับไม้ต่อถึงการเจาะลึกโครงการแนวสูงที่จะเปิดตัวปี 2566 จะมีทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวม 27,500 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการในกรุงเทพฯ และโครงการต่างจังหวัด บางส่วนเป็นการประเดิมเปิด Smart City
ไฮไลต์ปีนี้อยู่ที่การกลับมาอีกครั้งของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” แบรนด์ระดับราคา 50,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ที่จับต้องได้ง่าย ในแผนปีนี้จะเปิด 7 ทำเล แบ่งเป็นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ บางแค บางพลี และทำเลต่างจังหวัด คือ บางปะกง ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา และบางแสน
ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ไปบุกต่างจังหวัด จะมีในระดับราคาที่สูงขึ้น เช่น ไนท์บริดจ์ สเปซ ระยอง, โซ ออริจิ้น เขาใหญ่, โซ ออริจิ้น ภูเก็ต 2, ออริจิ้น เพลซ เชียงใหม่ และออริจิ้น เพลซ หัวหิน
วัน ออริจิ้น เปิดต่อเนื่อง 7 โครงการ
“ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดแผนของฝั่งที่จะเป็น Recurring Income ปีนี้จะมีการเปิดเพิ่มอีก 7 โครงการที่จะทำให้บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสะสม 20,000 ล้านบาท
ไฮไลต์ของปีนี้เป็นการเปิด โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลพร้อมพงษ์) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท, โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลซอยสุขุมวิท 59) มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท และโครงการมิกซ์ยูส วัน พญาไท มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังต่อยอดแบรนด์รีเทล Portobello จากศรีราชา ปีนี้จะเปิดอีก 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ ระยอง
วัน ออริจิ้น ยังมีแผนงานในไปป์ไลน์ที่กำลังก่อสร้างหรือออกแบบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 25,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะได้เห็นการไปเติมเต็ม Smart City ในทำเลใหม่ต่างๆ เช่น โรงแรมในหัวหิน 258 ห้อง, โรงแรมในเขาใหญ่ 140 ห้อง หรือโรงแรมรูปแบบเวลเนสในภูเก็ต 578 ห้อง เป็นต้น
“เฮลธ์แคร์” เป็นซอฟต์แวร์ประกบในโครงการ
ด้านธุรกิจสุขภาพ “ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด อธิบายว่า โมเดลธุรกิจจะเข้าไปเป็นเหมือน ‘ซอฟต์แวร์’ ที่เข้าไปเชื่อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งเครือออริจิ้น หลักๆ ได้เริ่มงานกับธุรกิจโรงแรมก่อน และปีนี้จะเริ่มเห็นการจับมือไปกับบ้านบริทาเนียและคอนโดฯ
แผนงานปีนี้ของธุรกิจสุขภาพ จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.Health Club – เข้าไปเป็นเฮลธ์แคร์ เซอร์วิสให้กับโครงการ เน้นเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เช่น ดูแลด้านโภชนาการอาหาร เป้าหมายเปิด 2 โครงการ
2.Mediplex – เป็นสหคลินิกที่เข้าไปอยู่ในชุมชนเพื่อรองรับความต้องการด้านต่างๆ เช่น บิวตี้ เวลเนส เส้นผม ทันตแพทย์ จิตแพทย์ ร้านขายยา Pet Club เป้าหมายเปิด 22 โครงการ
3.โรงพยาบาล – ในลักษณะโรงพยาบาลแบบเฉพาะทางขนาดไม่ใหญ่ เข้าไปอยู่ในชุมชน ใกล้คนมากขึ้น และจะเน้นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ เป้าเปิดตัว 1 โครงการ
รวมทั้งหมดปีนี้จะมีเปิดใน 25 โครงการ คาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 250 ล้านบาท และมีเป้าหมายปี 2568 จะเพิ่มเป็น 55 โครงการ และทำรายได้ 500 ล้านบาท
- บริษัทลูกออริจิ้นด้านงานบริการ “พรีโม” พร้อม IPO ปลายปีนี้ แผนธุรกิจเร่งการเติบโตนอกเครือ
- ภารกิจใหม่ “เสนาฯ” ขอช่วยแก้ปัญหาสังคม เปิด 10 ธุรกิจใหม่ตั้งแต่ “ปล่อยกู้” จนถึง “บ้านมือสอง”
“ออริจิ้น” ยังมีเครื่องยนต์อีกมากทั้งกลุ่มบริทาเนียซึ่งพัฒนาบ้านแนวราบ และกลุ่มอัลฟาที่ดูแลการพัฒนาคลังสินค้า-โลจิสติกส์ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ ที่อยู่ใน ‘มัลติเวิร์ส’ ของบริษัท หากรวมทั้งกลุ่มแล้ว พีระพงศ์ตั้งเป้าให้กลุ่มออริจิ้นมีมาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ