ไวเกินไปแล้ว! ‘China Unicom’ ประกาศเปิดตัว 6G ในอีก 2 ปีข้างหน้า

ยังไม่ทันได้ใช้ 5G อย่างเต็มที่ เทคโนโลยี 6G ก็จะมาอีกแล้ว โดยเฉพาะประเทศ จีน ที่ต้องการจะเป็นผู้นำในเทคโนโลยีดังกล่าวก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าจะเปิดตัว 6G ให้ได้ใช้งานภายในปี 2568 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า ก่อนที่มาตรฐาน 6G ที่ทั่วโลกคาดว่าจะออกมาในปี 2573

Liu Liehong ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ China Unicom ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่อันดับ 3 ของจีน ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 6G มาตั้งแต่ปี 2562 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวภายในต้นปี 2568 ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าบริการมือถือ 6G ในประเทศจะเริ่มเปิดตัวภายในต้นปี 2573 ซึ่งแปลว่า China Unicom จะได้ทดลองเปิดตัว 6G เร็วกว่ากำหนด 5 ปี

“เราคาดว่าจะเสร็จสิ้นการวิจัยทางเทคนิคและเปิดตัวแอปพลิเคชันล่วงหน้าสำหรับเทคโนโลยี 6G ภายในปี 2568 ในประเทศจีน ประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก” Liu Liehong กล่าวในการประชุม China Development Forum (CDF)

ปัจจุบัน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม 3 รายของประเทศ ได้แก่ China Mobile, China Telecom และ China Unicom ต่างก็มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนา 6G ในช่วงเริ่มต้นขณะที่พวกเขาเร่งเปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานและบริการ 5G ทั่วประเทศ โดย จีนเป็นประเทศที่มีเครือข่ายมือถือ 5G ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตัวเลข ณ สิ้นปี 2565 มีสถานีฐาน 5G มากกว่า 2.31 ล้านสถานี

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้ซัพพลายเออร์อุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่อย่าง Huawei Technologies และ ZTE Corp ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ ขั้นสูง ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครือข่าย

สำหรับเทคโนโลยี 6G คาดว่ามีความเร็วสูงถึง 1 Tbps หรือ 1,000 Gbps จากที่ 5G มีความเร็วประมาณ 20 Gbps โดยความเร็วระดับนี้จะสามารถทำในอุปกรณ์ต่างๆ มีความเสถียรกว่าเก่า เช่น รถยนต์ไร้คนขับที่เก่งกว่าเดิมหรือหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ตอบสนองได้แบบเรียลไทม์โดยไม่มีความหน่วงหรือดีเลย์ เป็นต้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Cyber Creative Institute พบว่าสิทธิบัตรเกี่ยวกับเทคโนโลยี 6G ของจีนคิดเป็น 40.3% ของการยื่นจดสิทธิบัตร รองลงมาคือ สหรัฐฯ 35.2% และ ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สามด้วย 9.9% รองลงมาคือยุโรป 8.9% และเกาหลีใต้ 4.2%

Source