สำหรับคาร์เทียร์ เวลานั้นหมุนเวียนเป็นวัฏจักร มิใช่เดินเป็นเส้นตรงอย่างที่นำเสนอทั่วไป วิสัยทัศน์นี้จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายว่าทำไมเมซงคอยพัฒนาปรับเปลี่ยนนาฬิกาและรังสรรค์ทั้งดีไซน์และกลไกขึ้นใหม่อย่างไม่รู้จบ เพื่อนำพาผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาไปสู่อนาคต เรือนเวลาของคาร์เทียร์ประสบความสำเร็จจากการเดินทางด้วยพลังแห่งจินตนาการจากอดีตไปสู่อนาคต ตราบเท่าที่วิวัฒนาการยังดำเนินไปไม่สิ้นสุด ไร้ขีดจำกัดของกาลเวลา ความคิดสร้างสรรค์เป็นอนันต์ และในปีนี้คอลเลคชั่นใหม่ของคาร์เทียร์ได้สะท้อนสิ่งนี้ ผ่านเรือนเวลาที่พรั่งพร้อมทั้งรูปทรงและคาแรกเตอร์ ปรับโฉมใหม่ผ่านการสร้างสรรค์อันทรงคุณค่า
Tank คือไอเดียแรกที่หลุยส์ คาร์เทียร์ทำนายว่าจะประสบความสำเร็จ และในปีนี้มีตัวแทนคือ Tank Normale รุ่นใหม่ที่อ้างอิงเรือนแรกสุดจากปี 1917 กับ Tank Américaine อันภูมิฐาน สองเอกลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์ มาเคียงคู่เรือนเวลาที่ได้รับการตีความขึ้นใหม่ อันได้แก่ Pasha, Baignoire, Panthère และ Santos de Cartier รวมถึง Clash [Un]Limited เรือนเวลาที่หลอมรวมมรดกเชิงสุนทรียะของคอลเลคชั่น Clash อย่างสร้างสรรค์และและสร้างวิวัฒนาการให้ก้าวไกลกว่าเดิมจากปัจจุบันที่มุ่งหน้าสู่อนาคต
TANK NORMALE
แต่ละปีเรือนเวลาหายากหนึ่งรุ่นจะได้รับเลือกเข้าสู่คอลเลคชั่น Cartier Privé จุดนัดพบของนักสะสม ซึ่งเฉลิมฉลองและสำรวจเรือนเวลารุ่นตำนานของเมซงผ่านเรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดโดยสลักหมายเลขกำกับไว้ วันนี้ Cartier Privé เปิดตัว Tank Normale ผลงานชิ้นที่ 7 ซึ่งเป็นผลงานเดียวซึ่งหลุยส์ คาร์เทียร์ เคยรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1917 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 2 ปีต่อมา กล่าวได้ว่า Tank คือผลงานที่โดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งของเมซงและอยู่ในทำเนียบสุดยอดมาสเตอร์พีซในประวัติศาสตร์วงการนาฬิกา
ในปีนี้คาร์เทียร์เนรมิต Tank รุ่น hour/minute ที่หยิบยืมสัดส่วนและหน้าปัดแซฟไฟร์ทรงโดม (beveled) จากเรือนวลาต้นฉบับ โดยใช้วัสดุทั้งตัวเรือนทอง สายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาล และตัวเรือนแพลทินัม สายหนังอัลลิเกเตอร์สีดำ และยังสามารถเลือกสายแบบกำไลเยลโลว์โกลด์หรือแพลทินัม ขัดแต่งซาตินหรือขัดเงา ให้อารมณ์ยุค 70
คาร์เทียร์ใส่กลไกสเกเลตัน พร้อมกลไกคอมพลิเคชั่น 24 ชั่วโมง ประดับเครื่องหมายพระอาทิตย์และพระจันทร์เสี้ยวแบบสเกเลตันเช่นกัน โดยเข็มนาทีจะหมุนรอบหน้าปัดใน 1 ชั่วโมง ส่วนเข็มชั่วโมงจะหมุนรอบหน้าปัดใน 24 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมงเช่นนาฬิกาทั่วไป
ด้วยเหตุนี้การบอกเวลาช่วงกลางวันจึงอยู่บริเวณหน้าปัดครึ่งบน ขณะที่การบอกเวลาช่วงกลางคืนจะปรากฏบริเวณหน้าปัดครึ่งล่าง เพื่อแสดงการเปลี่ยนผ่านจากกลางวันเป็นกลางคืนช่างนาฬิกาได้เคลือบสีสะพานจักรสเกเลตันแบบไล่น้ำหนัก ด้วยเฉดสีเดียวกับที่ใช้ตกแต่งหน้าปัดทั้งสองส่วน Tank รุ่นสเกเลตัน ผลิตเพียง 50 เรือน พร้อมสลักหมายเลขกำกับทุกเรือน สามารถเลือกทั้งแบบตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ สายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาลอมเขียว ปุ่มไขลานประดับแซฟไฟร์คาโบชงสีน้ำเงิน หรือตัวเรือนแพลทินัม สายหนังอัลลิเกเตอร์สีแดงเบอร์กันดีสลับเทา เม็ดมะยมฝังทับทิมคาร์โบชง และแบบสุดท้ายที่ผลิตเพียง 20 เรือนพร้อมสลักหมายเลขประจำตัว ตัวเรือนฝังเพชรทรงกลมเหลี่ยมเกสร สายหนังอัลลิเกเตอร์สีฟ้าอมน้ำเงิน เม็ดมะยมฝังเพชรเหลี่ยมเกสร
เรือนเวลาเหล่านี้มีรหัสด้านดีไซน์ของ Tank รุ่นดั้งเดิมอยู่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเข็มบอกเวลาสีน้ำเงิน เม็ดมะยมคาโบชง และแบบไม่ฝังเพชร จะมาพร้อมเส้นบอกนาทีรูปรางรถไฟและลายเซ็นลับ
TANK AMÉRICAINE
เปิดตัวเมื่อปี 1989 โดยได้แรงบันดาลใจ ตลอดจนตัวเรือนทรงโค้งมนมาจาก Tank Cintrée แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่มาพร้อมสายแบบปรับความยาวได้ ที่สอดรับกับหัวบัคเกิลแบบพับได้อันโด่งดัง ซึ่งคาร์เทียร์ได้ยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1910
ในปี 2023 สตูดิโอออกแบบของเมซงได้เน้นย้ำดีไซน์ต้นฉบับและรูปทรงโค้งมนของ Tank Cintrée ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ด้วยการสลักเส้นสายที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิมและดูปราดเปรียวดุจนักกายกรรม ความบริสุทธิ์ของรูปทรงได้รับการเน้นให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วยสไตล์ของหน้าปัด และการบูรณาการกรอบข้างตัวเรือนให้เชื่อมกับสายนาฬิกาอย่างไร้ที่ติ
กลไกภายในคือรุ่น 1899 MC ที่ปรับขนาดให้สอดคล้องกับตัวเรือนที่บางลง Tank Américaine 2023 มีให้เลือกในแบบตัวเรือนและสายทองคำ (all gold) แบบตัวเรือนสตีลสายหนัง ตัวเรือนโรสโกลด์ฝังเพชรสายหนัง และตัวเรือนไวท์โกลด์และโรสโกลด์ฝังเพชร บนสายโลหะที่ออกแบบมาสำหรับ Tank Américaine โดยเฉพาะ ข้อสายขัดเงาทุกด้าน เมื่อแสงตกกระทบจึงเปล่งประกายแวววาว
SANTOS-DUMONT
การยกระดับรูปทรงเรียบบางเป็นเอกลักษณ์ของ Santos-Dumont นับเป็นความท้าทายครั้งใหม่สำหรับ Cartier Manufacture ซึ่งนำกลไกจักรกลอัตโนมัติ 9629 MC แบบสเกเลตันที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษออกเปิดตัวในปี 2023
คาร์เทียร์ยังคงมรดกดั้งเดิมและความภูมิฐานของต้นฉบับปี 1904 ไว้อย่างครบถ้วน เรือนเวลา Santos-Dumont รุ่นล่าสุด ผ่านการตีความใหม่ในปี 2019 ในแบบตัวเรือนโกลด์และตัวเรือนสตีล อวดสกรูว์บนตัวเรือน พร้อมเม็ดมะยม beaded crown ทำด้วยคาโบชง สีน้ำเงิน ภายในบรรจุกลไกสเกเลตันที่ทุกรายละเอียดเชิงโครงสร้างล้วนรังสรรค์ขึ้นเพื่อคารวะนักบินผู้ยิ่งใหญ่ กลไกที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และเรื่องราวนี้ประกอบด้วยจานเหวี่ยง (functional oscillating weight) ขนาดจิ๋วรูปเครื่องบิน Demoiselle (เดอมัวแซลล์) อากาศยานรุ่นบุกเบิกที่ซานโตสดูมงต์ออกแบบไว้เมื่อปี 1907 สัญลักษณ์นี้ยิ่งมองก็ยิ่งทรงพลัง เพราะดูราวกับมันทะยานขึ้นเหนือลูกโลก
ผลงานเชิงสุนทรียะและเทคนิคที่ทำขึ้นเพื่อคารวะอัลแบร์โต ซานโตสดูมงต์ชิ้นนี้เป็นความสำเร็จที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่นักบินผู้ยิ่งใหญ่เคยจารึกไว้ ซานโตสดูมงต์เป็นบุรุษที่ตั้งเป้าสูงกว่าเดิมเสมอ เขาออกแบบอากาศยานกว่า 22 ลำ จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าทั้งยังเสี่ยงชีวิตทุกครั้งที่นำเครื่องขึ้นทดลองบิน สำหรับกลไกไมโคร-โรเตอร์ (micro-rotor) แบบใหม่เป็นผลงานที่ Cartier Manufacture ที่ La Chaux-de-Fonds (ลา โช เดอ ฟง) โดยใช้เวลาพัฒนาเกือบ 2 ปี และนำมาประกอบชิ้นส่วนขึ้นทั้งหมด 212 ชิ้น
เรือนเวลา Santos-Dumont กลไกสเกเลตัน ในแบบตัวเรือนโรสโกลด์และตัวเรือนสตีล ยกระดับความภูมิฐานขึ้นอีกขั้น และยังมีรุ่นลิมิเต็ด ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์เคลือบแลคเกอร์สีกรมท่า ที่รายละเอียดทุกส่วน รวมถึงขอบหน้าปัดและตัวเรือนล้วนเคลือบแลคเกอร์ โดยสะพานจักรแบบสเกเลตันนั้นเคลือบแลคเกอร์ด้วยมืออย่างประณีต
THE NEW BAIGNOIRE WATCH
เสน่ห์ในรูปแบบการวางซ้อนกันของสองวงรี
Baignoire ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1912 และผ่านการปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง ดุจความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดผ่านรูปทรงอันทรงคุณค่า เรือนเวลา Baignoire ดำเนินรอยตามแบบแผนความต่อเนื่อง โดยคงรูปลักษณ์ของตัวเองไว้เสมอ
ในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนทั้งในแง่ขนาดและการทำงาน การปรับสัดส่วนส่งผลให้ขอบทอง เหนือหน้าปัดและตัวเลขโรมันมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และคาร์เทียร์ยังนำรูปทรงของหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Baignoire มาใช้กับขอบตัวเรือน เพื่อให้แนบสนิทกับข้อมือ นับเป็นการให้กำเนิดลูกผสมที่ล้ำค่าของนาฬิกากับจิวเวลรี่
แนวคิดใหม่เพิ่มความเย้ายวนให้คาแรกเตอร์ของนาฬิกาที่รับประกันความใส่สบายด้วยตัวเรือนโค้งมน เรือนเวลา Baignoire รุ่นล่าสุด ทั้งแบบตัวเรือนโรสโกลด์ เยลโลว์โกลด์ และฝังเพชรทั้งเรือน ล้วนยกย่องเชิดชูนาฬิกาเรือนทองต้นฉบับที่เปล่งประกายงดงามในแสงอาทิตย์ ความบริสุทธิ์ของเส้นสาย ความแม่นยำของรูปทรง สัดส่วนที่เฉียบคม และรายละเอียดล้ำค่า คือสิ่งที่ทำให้ Baignoire เป็นเรือนเวลาสำคัญที่ขาดไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการออกแบบของคาร์เทียร์ และยังสามารถนำไปใส่คู่ผลงานระดับไอคอนชิ้นอื่นๆ ของเมซง สลับสับเปลี่ยนได้ไม่รู้จบ
ด้วยขนาดที่บอบบาง Baignoire ดูมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวบนสายหนังสีดำเคลือบเงา ความเป็นกูตูร์และอาจรวมถึงความประณีตยิ่งกว่าเดิม ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้แสดงความโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างแม่นยำไม่ต่างจากเดิม นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยยังคงไว้ซึ่งตัวตนที่แท้จริง
THE CLASH [UN]LIMITED
ลักษณะเรือนเวลา ของ Clash [Un]Limited คือกลไกที่ภูมิฐานและงดงามโดดเด่น เป็นจิวเวลรี่วอทช์ที่ผสานชั้นเชิงกับพลังอำนาจด้วยเม็ดมะยม หมุดปิโกต์ คลู คาร์เร (clou carrés) และความยืดหยุ่น รหัสของ Clash de Cartier หลั่งไหลดุจสายน้ำ สอดประสาน สร้างวิถี และเผยตัวตนในรูปเรือนเวลาล้ำค่า
รูปทรงเรขาคณิตปรากฏให้เห็นอย่างสม่ำเสมอตามสไตล์ของเมซง ไม่ว่าจะเป็นเหลี่ยมมุมตัวเรือน หน้าปัดทรงโดม การใช้พื้นที่และการทิ้งช่องว่าง ตลอดจนองค์ประกอบทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นวัฒนธรรมการออกแบบที่คานกันอย่างสมดุลกับความแม่นยำเชิงเรขศิลป์ของคาร์เทียร์โดยผ่านการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการกลอกกลิ้งทับกันของลูกปัด หรือบานพับสายนาฬิกา ที่ล้วนทำขึ้นเพื่อสร้างสัมผัสนุ่มนวลบนผิว
ความทะเยอทะยานที่จะเนรมิตโครงสร้างให้นาฬิกา และรังสรรค์มุมมองเชิงลึก จากรูปทรงของสายนาฬิกาทุกข้อ จนถึงตัวเรือนขนาดมินิ พร้อมกระจกเจียระไน 16 เหลี่ยม ที่ขับเน้นเส้นสายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
เรือนเวลาเรือนนี้ทำให้นึกถึงมรดกของฌานน์ ตูแซงต์ (Jeanne Toussaint) รวมถึงการสัมผัสได้ของความรู้สึกแห่งพลังอันแรงกล้าที่จะสร้างการปะทะอันแพรวพราว ระหว่างความล้ำค่ากับสุนทรียะแนวอุตสาหกรรมของลูกปืน ความเชื่อมโยงตามธรรมชาติระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ที่เห็นได้ใน Clash [Un]Limited ใช้ความตัดกันของสีเป็นตัวเน้นแม่แบบเรขาคณิต โดยวิธีแรกคือใช้ทองขัดลายสลับกับทองขัดซาติน จากนั้นจึงผสานทองเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์กับทองเฉดสีใหม่ประกายเหลือบม่วงไวโอเล็ต ที่พัฒนาขึ้นเพื่อคาร์เทียร์โดยเฉพาะ ทองเฉดนี้ปรากฏทั้งบนคลู คาร์เร่ และตุ่มบนสายนาฬิกา Clash [Un]Limited รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น นำเสนอธีมเดียวแต่หลากหลายในรายละเอียด ด้วยวัสดุทองเยลโลว์โกลด์ โรสโกลด์ หรือไวท์โกลด์ ฝังเพชร ทั้งยังจับคู่นาฬิกาเรือนเด่นกับอัญมณีที่ขับเน้นดีไซน์ให้สะดุดตายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทนสีขาวดำของออนิกซ์ แบล็กสปิเนล ออบซิเดียน และเพชร หรือโทนหลากสีจากคอรัล แบล็กสปิเนล คริสโซเพรส ซาโวไรต์ และเพชร เรือนเวลา Clash [Un]limited จากสตูดิโอออกแบบคาร์เทียร์ คือหนึ่งในผลงานจิวเวลรี่วอทช์สุดสร้างสรรค์ของเมซง
LA PANTHÈRE DE CARTIER
เสือแพนเตอร์สัญลักษณ์ของคาร์เทียร์สร้างเสน่ห์ดุดันให้จิวเวลรี่วอทช์รุ่นล่าสุดของคาร์เทียร์ ที่กรามของเสือขบหน้าปัดเคลือบแลคเกอร์ สีดำ สีเดียวกับลายจุดที่สร้างชื่อให้สัตว์สัญลักษณ์ของเมซง ความดุดันและสัญชาตญาณแห่งป่าทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นน้องใหม่ที่เปี่ยมด้วยชั้นเชิงในคอลเลคชั่นล้ำค่า La Panthère และเป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้ความสง่างามมีชีวิตชีวาจากความเชี่ยวชาญการทำเครื่องประดับ การตกแต่งขั้นสุดท้ายด้วยมือ การสร้างลายจุดด้วยงานแลคเกอร์และขัดเงา รวมทั้งการทำเซ็ตติ้ง ความท้าทายและความเข้มแข็งที่ฉายชัดสื่อถึงคาแรกเตอร์ที่แข็งแกร่งของนาฬิกาประดับประติมากรรมหัวเสือแพนเตอร์ที่ออกแบบมาให้ทุกส่วนเป็นสามมิติ ไม่ว่าจะเป็นจมูก แก้ม ดวงตา หรือใบหูแหลมตั้ง แนวทางสถาปัตยกรรมที่ใช้กับเสือแพนเตอร์นี้สืบทอดโดยตรงจากเครื่องประดับที่เปิดตัวในปี 2005 และใช้การเจาะเป็นรูปทรงเรขาคณิตร่วมกับมุมแหลม ดีไซน์ที่แม่นยำพรั่งพร้อม สอดคล้องกับสายนาฬิกาที่พัฒนาโดยสตูดิโอสร้างสรรค์และ Manufacture ของเมซง เชื่อมด้วยบานพับที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ให้ความยืดหยุ่นสูงสุดตลอดเส้น ยามสวมใส่จึงแนบสนิทไปกับข้อมือ เปี่ยมเสน่ห์อย่างแนบสนิทไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์แต้มแลคเกอร์สีดำ ฝังพลอยซาโวไรต์ที่ดวงตา หรือตัวเรือนไวท์โกลด์ฝังเพชรและฝังมรกตที่ดวงตา ก็มีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตา
งาน Watches and Wonders 2023 จัดขึ้น ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 2 เมษายน 2566