SCB Julius Baer มองโอกาสชิงเศรษฐีไทยเพิ่ม บริการ RM เข้าใจลูกค้า สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้

จากซ้ายไปขวา ฟิลลิปป์ ริคเคนแบเคอร์ (ซ้าย) ลลิตภัทร ธรณวิกรัย (กลาง) กฤษณ์ จันทโนทก (ขวา)

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้เล่นอันดับ 1 ในตลาดบริหารความมั่งคั่งของไทย โดยชูกลยุทธ์การลงทุนทั้งในและนอกประเทศอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงบริการของ RM ที่เข้าใจลูกค้า

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้กล่าวถึงเรื่องของความมั่งคั่งที่ปัจจุบันนั้นได้ย้ายมาอยู่ในทวีปเอเชีย จากเดิมที่อยู่ในยุโรป เขายังเปิดเผยว่าลูกค้าความมั่งคั่งสูงของไทยมีทรัพย์สินรวมกัน 10 ล้านล้านบาทเติบโตราวๆ 5% ต่อปี และยังมองว่าในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ลูกค้าระดับกลางอาจเลื่อนไประดับบนได้จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้กล่าวว่าการร่วมทุนกับ Julius Baer คือ การคิดในระดับโลกแต่กระทำในระดับท้องถิ่น (Think Globally Act Locally) เขายังชี้ว่าพาร์ตเนอร์จากสวิตเซอร์แลนด์รายนี้เน้นการบริหารความมั่งคั่งของลูกค้าแบบองค์รวม และมองว่าการร่วมทุนกันนั้นสามารถต่อยอดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

ผู้บริหารสูงสุดของ SCB ยังชี้ว่า SCB Julius Baer สามารถให้บริการลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ ทำให้บริหารความมั่งคั่งของลูกค้าในเอเชีย และในไทยได้ด้วย

ฟิลลิปป์ ริคเคนแบเคอร์ (Philipp Rickenbacher) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป ได้กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในช่วงนี้ถือว่าเป็นเวลาที่ท้าทาย และเป็นโอกาสในการลงทุน แต่ยังต้องจับตามองในหลายสถานการณ์ 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป ยังกล่าวว่า Julius Baer มีโมเดลทางธุรกิจที่ต่างจากคนอื่น แม้จะเป็นเบอร์ 2 ถ้าหากเทียบขนาดกิจการ แต่เขามองว่าสถาบันการเงินรายนี้มีเอกลักษณ์ และถ้าหากดูศักยภาพบริษัทแล้ว Julius Baer เป็นเบอร์ 1 เนื่องจากทำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งอย่างเดียว

เขาได้กล่าวว่าในเรื่องของการร่วมทุนกับทาง SCB นั้นถือว่าได้พาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้ในอนาคตมีความน่าตื่นเต้นรออยู่ ในขณะที่ตลาดเอเชียทาง Julius Baer ถือว่าให้ความสำคัญ เพราะพนักงาน 1 ใน 4 ของพนักงานทั้งหมดอยู่ที่เอเชีย ซึ่งเขามองว่าตลาดนี้ยังเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ ฟิลลิปป์ ยังได้กล่าวว่า Julius Baer ยังมีความมุ่งมั่นในการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบด้วยการผสมผสานหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในสำนักงานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หรือการให้คำแนะนำด้าน ESG กับลูกค้า

ลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด ได้กล่าวว่าประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ขณะเดียวกันเธอก็ยังชี้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลของไทยก็ได้ปรับตัวทำให้การลงทุนในต่างประเทศสะดวกมากขึ้นด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SCB Julius Baer ยังชี้ว่าในปี 2021 ความมั่งคั่งที่อยู่ในประเทศไทย (Onshore Wealth) ของเหล่ามหาเศรษฐีมีสินทรัพย์รวมกันราวๆ 25.7 ล้านล้านบาท ซึ่งในปี 2026 นั้นคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 32 ล้านล้านบาท ทำให้เธอมองว่ายังมีโอกาสมหาศาลที่จะได้ลูกค้าเพิ่ม

เธอได้ชูกลยุทธ์ The New Wave of Wealth ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าสามารถลงทุนทั้งในประเทศ (Onshore) และต่างประเทศ (Offshore) ได้ บริการของ Relationship Manager (RM) ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า รวมถึงการวางแผนการลงทุนและส่งต่อความมั่งคั่งที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าในแต่ละราย เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

โดยลลิตภัทรตั้งเป้าภายใน 3 ปี SCB Julius Baer จะสามารถขึ้นแท่นผู้นำ International Private Banking ที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจร ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs และ HNWIs) ของเมืองไทยได้