BEAUTY ทยอยฟื้น Q1/66 เผยผลงานรายได้ 108.75 ล้านบาท มองครึ่งปีหลังดีขึ้นต่อเนื่อง ลุ้นพลิกมีกำไร

BEAUTY เผยผลประกอบการ Q1/66 รายได้รวม 108.75 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 6.23 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาส 2/66 และครึ่งปีหลังธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ลุ้นพลิกมีกำไร เร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ต่อเนื่อง เดินหน้าตามแผน พัฒนาโมเดลธุรกิจ  ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เพิ่มช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบ ลุยตลาดแมสทั้งในและต่างประเทศ

ดร.พีระพงษ์  กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด Live a Beautiful Life เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้รวม 108.75  ล้านบาท ลดลง 3.51% % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 112.71 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น  5.45% จากไตรมาส 4/65 ที่มีรายได้รวม 103.12  ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 6.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 2.92 ล้านบาท และขาดทุนลดลงจากไตรมาส 4/65 ที่มีขาดทุนสุทธิ 12.32 ล้านบาท

รายได้รวมของบริษัท หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตลาดทั้งในและต่างประเทศทยอยฟื้นตัว กำลังซื้อในประเทศปรับตัวดีขึ้น และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ช่องทาง Modern trade อาทิ King Power ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาซื้อเริ่มมีแนวโน้มที่ดี  คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS คือ  Beauty Buffet B-Hi Collagen  และกาแฟควบคุมน้ำหนัก Lansley Diet Coffee Plus ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งช่องทางการจำหน่ายใหม่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้น

ดร.พีระพงษ์  กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/66 และครึ่งปีหลังว่า ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ  คาดว่ามีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร โดยช่วงต่อจากนี้ จะมุ่งเน้นตลาดในประเทศ โดยบริษัทจะเร่งผลักดันแคมเปญการตลาด 3 แคมเปญในครึ่งปีแรก คือ 1. สินค้า B-Hi Collagen โดยมี ดีเจนุ้ย ธนวัฒน์ และน้องมิ้น รัญชน์รวี เป็นพรีเซนเตอร์บอกเล่าคุณประโยชน์ของตัวสินค้า 2. กลุ่มสินค้ายอดนิยม Milk Plus Collection  โดยมี 2 หนุ่มเนื้อหอม ฟอร์ด ฐิติพงศ์ – พีท วสุธร แฟนคลับจีนชื่นชอบมาตอกย้ำความเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมตลอดกาล และ 3. กลุ่มสินค้าเมคอัพ กับแคมเปญ GINO McCRAY สะกดทุกลุค โดยมีแบรนด์แอมบาสเดอร์  คือ น้องบัว นลินทิพย์ มาส่งต่อความสวยให้กับผู้หญิงทุกคน

ส่วนช่องทางจำหน่ายเดินหน้าขยายช่องทางสินค้าอุปโภค (consumer product ) ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซี โลตัส ท๊อป วัตสัน CJ Express ฯลฯ และเจอร์เนอร์รัลเทรด กระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายไปสู่ร้านค้าปลีกในระดับอำเภอ โดยปรับรูปแบบสินค้าให้มีขนาดและราคา ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพในพื้นที่ต่างๆ

ขณะที่มีการเปิดร้านค้าปลีก BEAUTY BUFFET SHOP รูปแบบใหม่จำนวน 2 แห่ง มีกระแสตอบรับที่ดี จากทั้งลูกค้าคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้บริษัทมีแผนขยายช่องทางจำหน่าย โดยมีแผนจะเปิดสาขาใหม่  BEAUTY BUFFET SHOP เพิ่มจำนวน 8 สาขาในปีนี้เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และพรีเซนเตอร์ที่หลากหลายในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์

ล่าสุดบริษัทมีแผนขยายช่องทางการขายรูปแบบใหม่ โดยให้สิทธิ์การเปิดร้านค้า (Shop License) แบบ KIOSK License เพื่อกระจายสาขาให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เน้นโลเคชั่นในห้างสรรพสินค้าและย่านการค้าที่ใกล้แหล่งชุมชนและแหล่งทำเลการค้าต่างๆ ปัจจุบันมีผู้แสดงความสนใจเข้ามาแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาความพร้อมด้านต่างๆ ร่วมกัน โดยมีแผนที่จะเปิด KIOSK License 10 แห่งในปีนี้

สำหรับช่องทาง E-Commerce จะเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ, Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่าย และได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว ในส่วนของแอปพลิเคชั่น “Beauty Buffet Club” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ซึ่งเป็นศูนย์รวมข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก รวมถึงสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3 ล้านราย

ส่วนช่องทางตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 12 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ซาอุดิอาระเบีย  ฮ่องกง ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า ลาว มาลเซีย  อินเดีย ญี่ปุ่น โดยในช่วงต่อจากนี้จะโฟกัสกลุ่มประเทศ ตะวันออกกลาง (Middle East)  โดนเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ซึ่งยอดขายในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีสัญญาณที่ดี มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม