10 ปีก่อน ชานมไข่มุกจากไต้หวัน เป็นกระแสฮิตที่วัยรุ่นจนถึงคนทำงาน ต้องลิ้มลอง เดินไปที่ไหนก็มีแต่คนถือชานมไข่มุก และแพ็กเกจจิ้งก็มีหลากหลาย ทั้งแก้วที่ถูกซีลฝาปิดอย่างดีจากเครื่อง หรือแก้วทรงดัมเบลที่เพิ่มความแปลกใหม่กับปริมาณบรรจุเข้าไปอีก มาถึงวันนี้ “ชานมไข่มุก” กลับมาอีกครั้ง พิสูจน์จากร้านค้าทั้งแบบ Kios ซุ้มขาย หรือมีกระทั่งร้านชานมที่ลูกค้าสามารถนั่งได้
สาเหตุของการกลับมาครั้งนี้อยู่ที่รสชาติมีให้เลือกหลากหลายขึ้น ลูกค้าสามารถบอกกับพนักงานได้ว่าอยากได้ความหวานระดับไหน สอดคล้องกับกระแสสุขภาพ และยังพยายามลดจุดด้อยที่หลายคนเชื่อว่าการกินชานมไข่มุกแล้วไม่น่าจะช่วยเรื่องการลดความอ้วนได้ เพราะไหนจะหวาน ไหนจะแคลอรีที่มาพร้อมกับแป้งจากเม็ดสาคูหรือไข่มุก คำเรียกใหม่ที่สร้างกิมมิกให้สินค้า
ความหลากหลายยังเลยไปถึงท็อปปิ้งที่เลือกใส่ เพื่อทำให้ลูกค้ามีช้อยส์ที่จะเลือก เช่น หัวบุก,เยลลี่ ส่วนน้ำเองก็มีทั้งน้ำผลไม้, กาแฟ ทำให้ลูกค้าไม่เบื่อและรู้สึกว่าตัวเองได้สร้างเครื่องดื่มที่ตัวเองชอบขึ้นมาเองแบบ Mad to Order
ด้านผู้ประกอบการ การเป็นเจ้าของร้านชานมไข่มุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านระบบเฟรนไชส์ดูจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น จากเดิมที่เครื่องซีลปิดฝาชานมมีราคาอยู่ที่หลักแสน แต่เดี่ยวนี้แค่เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 2-3 หมื่นบาทก็เปิดร้านชานมไข่มุกได้แล้ว ท่ามกลางกระแสที่คนรุ่นใหม่หรือลูกจ้างทั้งหลายอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ชานมไข่มุกจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สตาร์ทได้ไม่ยากนัก ขณะเดียวกันผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดนี้ก็มีเพิ่มขึ้นให้เห็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น “มิสเตอร์ เชค” แบรนด์ดั้งเดิมที่ยึดทำเลทองเอาไว้ในมือส่วนหนึ่งแล้ว ยังมี Wawa Cha แบรนด์ชานมไข่มุกที่ Sukishi เป็นเจ้าของ
ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ชานมไข่มุกกลายเป็นความเคยชินของคนไทยไปแล้ว และคงไม่ตายไปจากสังคมไทย แต่แบรนด์ไหน เจ้าของร้านคนใดจะไปรอดในธุรกิจ คงต้องดูตัวอย่างโรตีบอย เปรียบเทียบกับมิสเตอร์ บัน ที่ขายสินค้าแบบเดียวกัน อีกรายหนึ่งเป็นผู้ปลุกกระแส แต่ปัจจุบันก็พิสูจน์แล้วว่า “ใครคือผู้อยู่รอด”