Apple สูญเสียมูลค่าไปประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังสื่อหลายแห่งรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลจีนจะห้ามไม่ให้ ข้าราชการใช้ iPhone เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพิ่มสูงขึ้น
หุ้นของ Apple ตกลง 3% ในวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา รวมแล้วในสัปดาห์นี้มูลค่าบริษัทลดลงมากกว่า 5% หลังจากมีรายงานจาก Wall Street Journal ว่า รัฐบาลจีนมีคำสั่งห้ามข้าราชการใช้ iPhone รวมไปถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์ต่างประเทศอื่น ๆ
นอกจากนี้ Financial Time ได้อ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุชื่อ 6 แห่งจากสถาบันของรัฐและบริษัทของรัฐ รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีนิวเคลียร์และโรงพยาบาลว่า พนักงานข้าราชการได้รับคำสั่งให้หยุดใช้โทรศัพท์ของ Apple ซึ่งคำสั่งห้ามดังกล่าวเป็นการเพิ่มเติมจากที่ห้ามใช้ iPhone สำหรับการทำงาน
“รัฐบาลจีนกำลังพยายามที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่การห้ามนี้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับ Apple เนื่องจากจีนเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดและคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้” Victoria Scholar หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Apple กล่าว
เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไม่ได้แสดงความคิดเห็นโดยตรงต่อประเด็นดังกล่าว โดยกล่าวเพียงว่า “ผลิตภัณฑ์และบริการจากประเทศใด ๆ ก็ตามสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้ ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามกฎหมายจีนและกฎระเบียบ”
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเพื่อบังคับใช้มาตรการบล็อกและกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ ในจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
รายงานการห้ามใช้ iPhone ถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับ Apple ซึ่งกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล่าสุดในวันอังคารที่ 12 กันยายน ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 15 นอกจากนี้ Apple ยังเผชิญกับภัยคุกคามจาก Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ซึ่งเพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Mate 60 Pro ซึ่งมีรายงานว่า Mate 60 Pro มีพลังและความเร็วเพียงพอที่จะแข่งขันกับ iPhone 15 และขายได้เร็วในประเทศจีน