เชนร้านกาแฟอย่าง แฟลช คอฟฟี่ (Flash Coffee) ได้ปิดธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ลง ซึ่งมีทั้งหมด 11 สาขา โดยให้เหตุผลว่าบริษัทต้องการที่จะโฟกัสกับตลาดอื่น ไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่พนักงานนัดหยุดงานแต่อย่างใด
Flash Coffee ธุรกิจเชนร้านกาแฟซึ่งมีสาขาในหลายประเทศ ล่าสุดบริษัทได้ปิดธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ลง ไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่พนักงานนัดหยุดงานแต่อย่างใด ขณะที่ธุรกิจตามประเทศอื่นๆ ยังมีการดำเนินงานตามปกติ โดยบริษัทต้องการที่จะโฟกัสกับตลาดอื่น
โดยล่าสุดสื่อในประเทศสิงคโปร์อย่าง Channel News Asia ได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านบัญชีและบริษัทพบว่า Flash Coffee ในสิงคโปร์กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำเรื่องยกเลิกบริษัทและชำระบัญชี
ปัจจุบัน Flash Coffee มีสาขาในสิงคโปร์ 11 สาขา จากเดิมในปี 2021 บริษัทมีสาขาในสิงคโปร์มากถึง 30 สาขา
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Flash Coffee สาขา Jurong Point ได้ติดประกาศในสาขาว่าพนักงานได้ประกาศนัดหยุดงานเนื่องจากไม่ได้รับเงินเดือน โดยสหภาพพันธมิตรด้านแรงงานอาหาร เครื่องดื่ม ของสิงคโปร์ (FDAWU) ได้กล่าวว่าพนักงานของเชนร้านกาแฟดังกล่าวค้างชำระเงินเดือนพนักงานสัดส่วน 75% ในเดือนกันยายน และค่าจ้างจนถึงวันที่ 12 ตุลาคม รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ อย่างวันลา รวมอยู่ด้วย
เชนร้านกาแฟดังกล่าวได้ก่อตั้งในปี 2020 โดย เดวิด บรูเนียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเซบาสเตียน ฮานเน็คเกอร์ โดยต้องการเจาะตลาดชนชั้นกลางในหลายตลาด และใช้โมเดล “แกรบ แอนด์ โก” ซึ่งเป็นโมเดลที่ประหยัดต้นทุนของร้าน
เชนร้านกาแฟรายนี้ ได้เม็ดเงินลงทุน Series A มาแล้ว 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 ในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมาบริษัทได้ปลดพนักงานจำนวนหนึ่งในประเทศสิงคโปร์
ต่อมาในปี 2023 เมื่อเดือนมีนาคมบริษัทได้ปิดธุรกิจในไต้หวัน ก่อนที่บริษัทจะได้เงินลงทุนใน Series B จากนักลงทุนหลายราย รวมถึงผู้ลงทุนเดิม เช่น Delivery Hero หรือแม้แต่ DX Ventures อีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม ก่อนที่ในช่วงปลายเดือนกันยายนมีรายงานข่าวจาก DealStreet Asia ว่าเชนร้านกาแฟรายดังกล่าวเริ่มลดขนาดธุรกิจลงมา และล่าสุดคือการปิดธุรกิจในสิงคโปร์
อย่างไรก็ดีการดำเนินงานของ Flash Coffee ในสาขาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในไทย อินโดนีเซีย ฮ่องกง ยังมีการดำเนินการตามปกติ ซึ่งในประเทศไทยนั้นข้อมูลล่าสุดจากแอปพลิเคชั่นมีสาขาทั้งสิ้น 55 สาขา จากสาขารวมกันทั้งหมดราวๆ 200 สาขา
ที่มา – CNA, South China Morning Post