ไม่ใช่ละครเท่านั้น แต่สิ่งที่เติมดีกรีความดัง “ณเดชน์ฟีเวอร์” คือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ากว่า 23 แบรนด์ภายในปีเดียว จนกูรูการตลาดต้องออกโรงเตือน จะเกิดภาวะ “ใช้เยอะจนช้ำ จำสินค้าไม่ได้” แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเติมกระแสความแรงได้อีกให้กับณเดชน์ หลายสินค้ายังคงเต็มใจจ่าย อาศัยความฮอตไม่เลิกของเขาเพื่อเข้าถึงลูกค้าระดับแมส แต่ปีนี้ขอแค่ 10 แบรนด์ก็พอนะ
ความแรงบวกกับความดังเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ที่ทำให้ณเดชน์ยังคงฮอตฮิตในหมู่แบรนด์สินค้าที่ยังยกให้เขาเป็น “เมกะพรีเซ็นเตอร์” ที่แม้ว่ากูรูการตลาดจะออกมาเตือนแล้วก็ตาม แต่เจ้าของแบรนด์หาได้แคร์ กลับยิ่งอาศัยความฮอตไม่เลิกของ “ณเดชน์” เข้าถึงลูกค้าแมส
หลายคนเชื่อว่า เป็นเพราะละครที่รับเล่นยังไม่มาก ภาพจำของ “ณเดชน์”ในงานแสดงจึงยังไม่ชัดเจนหรือติดตาเหมือนกับพระเอกดัง ภาพของณเดชน์จึงสามารถเปลี่ยนไปตามบุคลิกที่แบรนด์อยากให้เป็น ตั้งแต่ เสื้อผ้า หน้า ผม การนำเสนอที่ทุกแบรนด์ใส่กันมาเต็มที่ เพื่อให้เข้ากับคาแร็กเตอร์สินค้า ซึ่งตัวณเดชน์เองก็เข้าใจกับเงื่อนไขการตลาดนี้ดี
ด้วยความที่ยังไม่มีภาพจำที่ติดมากับละครมากนัก ทำให้แบรนด์ต่างๆ จึงคิดหาประเด็นเชื่อมโยง กับโพรไฟล์ของเขาไปยังกลุ่มเป้าหมายและแฟนคลับ บวกกับบุคลิกที่ดูดี ภาพของณเดชน์ในหนังโฆษณาจึงเป็นได้ทั้งหนุ่มอีสาน และไฮโซโก้หรู ในเวลาเดียวกัน
เป็นสิ่งที่ เอ ศุภชัย ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่ใครจะทำได้เหมือนกับณเดชน์
“ณเดชน์เขาไปโดนกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม จะให้เป็นนายแบบจากโว้ค บาซาร์ หลุดมาจากแคตวอล์ก หรือจะให้เอาผ้าขาวม้าคาดพุง ณเดชน์ก็ทำให้คนเชื่อได้ นี่แหละคือโจทย์ยาก ไม่ใช่ใครก็ทำแบบนี้ เพราะหลายคนทำแล้วแต่คนไม่เชื่อ”
เอ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มาจากภูมิหลังของณเดชน์ การเป็นคนหลายวัฒนธรรม อยู่กับพ่อชาวญี่ปุ่น บวกกับการทำงานร่วมกันระหว่างตัวเขา และครีเอทีฟโฆษณาที่ต้องดึงความเป็นตัวตนของณเดชน์ไปใช้สื่อกับกลุ่มเป้าหมาย
ในทางคนดู ก็กลับกลายเป็นว่า การมีโฆษณามากๆ ก็ยิ่งทำให้ “ณเดชน์” มีความสดใหม่ตลอดเวลา ยิ่งเมื่อณเดชน์ยังไม่มีละครออนแอร์มาให้ดู การดูโฆษณาที่มีณเดชน์เป็นพรีเซ็นเตอร์ก็เลยกลายเรื่องสนุก สำหรับแฟนคลับจะคอยติดตามจนเกิดการจดจำ และบอกต่อ เกิดเป็น “กระแสณเดชน์ฟีเวอร์กวาดพรีเซ็นเตอร์เกือบทุกสินค้า” ทั้งสื่อออนไลน์ และออฟไลน์
งานนี้เข้าข่ายยิ่งล้อก็ยิ่งดัง ยิ่งกลายเป็นกระแส เจ้าของสินค้าก็ยิ่งแฮปปี้ เพราะส่วนใหญ่การใช้พรีเซ็นเตอร์คนดัง แบรนด์หวังแค่เป็นทางลัดสร้างการรับรู้ไปยังผู้บริโภคให้เกิดการจดจำโดยเร็วเท่านั้น
แต่สำหรับปีนี้ กระแสความดังของณเดชน์มากพอที่จะทำให้ เอ ศุภชัย เลือกลดจำนวนสินค้า เหลือไม่เกิน 10 แบรนด์ ใน 10 หมวดสินค้าไม่ซ้ำกัน วิธีคิดง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เจ้าของสินค้าไหนให้ค่าตัวมากกว่าสูงสุดก็ได้ไป
“ณเดชน์เป็นที่รักจนถึงจุดที่ว่า เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าไหนคนก็ใช้ เมื่อก่อนคนยังลังเล แต่ปีนี้ทุกสินค้าทุกเจ้าขอต่อสัญญา เอจะเหลือแค่ 10 แบรนด์ ก็เลยขอขึ้นค่าตัวเป็น 3 เท่า เจ้าของสินค้ารายไหนให้เยอะก็ให้เจ้านั้น ขอเก็บเกี่ยวบ้าง เหนื่อยมาเยอะแล้ว”
ถึงแม้จำนวนสินค้าลดลง แต่ราคาค่าตัวเพิ่มขึ้น เท่ากับว่า “ณเดชน์” ยังได้ทั้งเงินและได้ทั้งแบรนด์ระดับท็อปมาไว้ในมือ แถมยังมีเวลาไปเล่นละคร ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ปั่นความดังยิ่งขึ้นไปอีก
ดูจากต้นปี 2555 “ณเดชน์” เปิดตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ใหญ่แล้ว 2 แบรนด์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ ”ณเดชน์” พรีเซนต์ให้ตั้งแต่ปี 2555 คือซัมซุงและมันฝรั่งเลย์ และแน่นอนว่าในปี 2555 นี้ “ณเดชน์” ยังคงกวาดอีกไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ และอีกครั้งที่ปีนี้ ”ณเดชน์” จะรับค่าตัวการเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกไม่ต่ำกว่าหลักร้อยล้านบาท โดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ
“เลย์” ยังคงมาแบบแพ็กคู่ “ณเดชน์-ญาญ่า” ต่อเนื่องจากปี 2554 ซึ่ง ”จันทร์วิภา พิพัฒนกุล” ในฐานะอดีตผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-อาหาร บริษัทเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์มันฝรั่งลย์ ให้ความเห็นว่า ”ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อนเป็นให้เลย์มาแล้วหลายแบรนด์ ในหลายอุตสาหกรรม แต่การเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่กับ ”ญาญ่า” ยังน้อย
ถือเป็นความพยายามของแบรนด์ในการสร้างความแตกต่างในการมี ”ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ และตอบโจทย์แคมเปญที่ต้องการเน้นเรื่องการแบ่งปันความสุขในแนวหวานๆ น่ารัก (ก่อนหน้านั้นมีแบรนด์ที่ใช้ทั้งคู่เป็นพรีเซ็นเตอร์ คือโฟร์โมสต์ จากนั้นมีมิสทิน และบะหมี่ยำยำ)
ถามว่าทำไมถึงต้องเป็น ”ณเดชน์” ในมุมของแบรนด์คือคาแร็กเตอร์ของณเดชน์คือคนรุ่นใหม่ ลุคมีความเป็นโลคัลและอินเตอร์ผสมผสานกัน มีความเป็นตัวของตัวเองและมีความสามารถ และมีคนชอบในวงกว้าง ซึ่งหมายถึงเป็นที่รู้จักของแมส ที่เรียกได้ว่า Awareness กับกลุ่มแมสนั้นจัดว่าเต็ม 100% จากปี 2554 ต่อเนื่องในปี 2555 มากขึ้นเรื่อยๆ
“จันทร์วิภา” ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ จำกัด บอกด้วยว่า ”ณเดชน์” สำหรับซัมซุง เป็นการตอบโจทย์เป้าหมายของแบรนด์ ที่มีกลุ่มลูกค้ากว้างและหลากหลาย เมื่อ ”ณเดชน์” เป็นที่รู้จักของแมส จึงสามารถดึงความสนใจสื่อมาถึงแบรนด์ได้
“ณเดชน์” มีบุคลิกที่ร่าเริง สนุกสนาน ชอบ Gadget สื่อคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ได้ ที่ไม่หยุดนิ่ง มีความคิดสร้างสรรค์
“ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ซัมซุงมาตั้งแต่ปลายปี 2553 กับโฆษณาในทีวีซีโทรศัพท์มือถือรุ่น ”มอนเต้” ปี 2554 ทีวีซีโน้ตบุ๊กซัมซุง ซีรี่ส์ 9 และซัมซุงแคนดี้ และปี 2555 ทีวีซีสำหรับโปรโมตฟีเจอร์โฟน