YAMAHA อยากบุกอีสาน ก็ต้อง “ณเดชน์”

ยามาฮ่าเป็นอีกแบรนด์ที่เลือกใช้ ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แนวทางการเลือกพรีเซ็นเตอร์ของยามาฮ่าจะเริ่มต้นจากการที่ยามาฮ่าต้องเลือกคนที่ฮอตและเซอร์ไพรส์สำหรับการเป็นพรีเซ็นเตอร์รถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งความโด่งดังของณเดชน์ก็นำมาสู่การพูดคุยเพื่อพิจรณาว่าดาราที่เลือกมาจะเหมาะสมกับแบรนด์หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าความเป็นเด็กต่างจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “อีสาน” ถือเป็นข้อดีของณเดชน์ เพราะทำให้เขาเคยใช้มอเตอร์ไซค์เป็นประจำอยู่แล้ว และเป็นความบังเอิญว่าณเดชน์ก็ใช้ฟีโน่ ทำให้ในภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง We Love Fino ที่ดาราแต่ล่ะคนต้องพูดถึงความรู้สึกเกี่ยวกับฟีโน่ ณเดชน์พูดภาษาท้องถิ่นด้วยวิธีการพูดของตัวเอง แบบไร้สคริปต์ แต่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งภูมิภาคอีสานมีผู้บริโภครถมอเตอร์ไซค์สูงด้วยจำนวนประชากรกับขนาดพื้นที่ ทำให้ฝ่ายการตลาดของยามาฮ่ารู้สึกว่าการเลือก ณเดชน์ เป็นผลพลอยได้ที่มากกว่าแค่เป็นพรีเซ็นเตอร์ทั่วไป 

สรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายโฆษณาและส่งเสริมการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานกับดาราคนนี้ว่า “ปีที่แล้วเราทำโฆษณา We Love Fino ตอนนั้นเราให้ดาราแต่ละคนพูดถึงฟีโน่ ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะเลือกณเดชน์ เขาเองขี่ฟีโน่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว และสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นภาษาอีสานก็เป็นสิ่งที่เขาพูดออกมาเอง เราไม่ได้มีบทแต่ปล่อยให้ดาราแต่ล่ะคนพูดไปตามที่คิด เวลาที่จะต้องถ่ายทำสกู๊ปขนาดยาวเราก็ใช้รถของณเดชน์เอง เราแค่เอาหมวกกันน็อกไปเปลี่ยนเพราะหมวกของณเดชน์เก่ามาก สิ่งที่เราได้ก็คือความเป็นธรรมชาติ ผู้บริโภคสมัยนี้ถ้าพรีเซ็นเตอร์โกหก หรือมัวแต่เก๊ก เขาดูออก สำหรับโฆษณาฟีโน่ ณเดชน์ไม่ใช่ดาราแต่เป็นตัวของเขาเอง” 

“ในโฆษณาตัวใหม่ We are Fino เราต้องหนีน้ำไปถ่ายที่โคราช แก๊งฟีโน่ที่เห็นในโฆษณาก็คือคนขี่ฟีโน่จริงๆ การที่ณเดชน์เป็นคนขี่ฟีโน่อยู่แล้ว เขาก็คุยกับคนอื่นๆ ได้ และก็พูดภาษาอีสานแบบไม่ถือตัว ทำให้แฟนๆ ของเราที่มาร่วมถ่ายโฆษณาในวันนั้นสนุก จะถ่ายรูป หรือคุยด้วยก็ได้ แล้วมันกลายเป็นบทสนทนาในคอมมูนิตี้ของพวกเขา ที่แก๊งนี้ก็จะเอาไปเล่าให้อีกแก๊งฟังว่าได้ถ่ายโฆษณากับณเดชน์”  

นอกจากเรื่องความมีชื่อเสียงของดาราแล้ว การมีคาแร็กเตอร์และไลฟ์สไตล์ตรงสินค้าก็เป็นเรื่องที่นักการตลาดต้องใส่ใจ เพราะเดี๋ยวนี้การปรากฏตัวและการเปิดเผยชีวิตดาราไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอีกต่อไป การใช้โปรดักต์แบบอิสระเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การแสดงจึงทำให้สินค้าอยู่ติดกับตัวพรีเซ็นเตอร์แบบเนียนๆ   

นอกจากยามาฮ่าที่ชุดจุดเด่นความเป็นอีสานแล้ว ยังมีซิมโทรศัพท์มือถือทรูมูฟ ที่ต้องการบุกตลาดอีสาน ด้วย ”ซิมฮักกัน”    

ทั้งนี้ทรูมูฟมองตลาดอีสานในมุมที่เศรษฐกิจเติบโต พี่น้องชาวอีสานได้กระจายทำงานกันอยู่ทั่วประะเทศและรักษาวิถีชีวิตความเป็นครอบครัวและพี่น้อง เพื่อนพ้อง ภูมิใจในความเป็นท้องถิ่นอีสานอย่างเห็นได้ชัด โดยนอกจากใช้ ”ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว ยังทุ่มแคมเปญด้วยทีวีซีและอีเวนต์ที่พา ”ณเดชน์” ทัวร์อีสานด้วยงบรวมประมาณ 60 ล้านบาท