· อินชัวร์เทคระดับภูมิภาคปิดดีล 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการระดมทุนรอบพรีซีรีส์ C เพื่อใช้ขยายกิจการในภูมิภาคผ่านการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ โดยมุ่งเป้าขยายตลาดในประเทศไทยในฐานะตลาดสำคัญที่มีการเติบโต
· บริษัทได้รับการประเมินมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50% เนื่องจากมีทิศทางและผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2566 และคาดการณ์ว่าจะทำกำไรได้ในปี 2567
· การระดมทุนรอบนี้มีผู้ลงทุนหลักคือ Eurazeo ซึ่งเป็นบริษัทผู้ลงทุนระดับโลกผ่านกองทุนอินชัวร์เทคที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้รับประกันภัยระดับโลกอย่าง BNP Paribas Cardif อีกทั้งยังได้รับเงินทุนจากกองทุน OSV+ ของ Openspace และ La Maison ที่สนใจร่วมลงทุนเพิ่มเติมจากรอบก่อน
· Igloo จะมุ่งเป้าไปที่การใช้นวัตกรรมและการขยายพันธมิตรในประเทศไทย เพื่อเข้าถึงภาคธุรกิจใหม่ๆ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร
Igloo อินชัวร์เทคระดับภูมิภาคประกาศปิดดีล 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการระดมทุนรอบพรีซีรีส์ C โดยมี Eurazeo บริษัทผู้ลงทุนระดับโลกเป็นผู้ลงทุนหลักในครั้งนี้ผ่านกองทุนอินชัวร์เทคที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้รับประกันภัยระดับโลกอย่าง BNP Paribas Cardif นอกจากนี้ยังได้รับความไว้วางใจจากทั้ง Openspace และ La Maison ที่เคยร่วมลงทุนกับ Igloo ตั้งแต่รอบซีรีส์ B และ B+ ด้วยความเชื่อมั่นในรากฐานทางธุรกิจอันแข็งแกร่งของบริษัท โดย Eurazeo ได้ร่วมลงทุนผ่านกองทุนอินชัวร์เทคซึ่งให้ความสนใจในเทคโนโลยีที่สร้างนวัตกรรมและไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ที่จะดิสรัปต์ธุรกิจการประกันภัย ขณะที่การลงทุนของ Openspace ในรอบนี้เป็นการลงทุนเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในระยะกลางภายใต้กองทุน OSV+ ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนผ่านและอยู่ใน ซีรีส์ C และ D ในอาเซียน
“เราได้ติดตาม Igloo มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และประทับใจอย่างมากกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในแพลตฟอร์มการประกันภัยได้หลากหลายแขนง ผ่านช่องทางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ตลาดประกันภัยในอาเซียนยังมีโอกาสอีกมาก และเราเชื่อว่า Igloo มีศักยภาพที่จะลบจุดอ่อนเหล่านี้ และทำให้ประกันภัยกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้บริโภค” อัลเบิร์ต ชายย์ กรรมการผู้จัดการของ Eurazeo กล่าว
การระดมทุนของ Igloo รอบล่าสุดนี้ห่างจากรอบซีรีส์ B+ เพียง 10 เดือน ซึ่งครั้งนั้นมี InsuResilience Investment Fund II ที่บริหารจัดการโดย BlueOrchard เป็นผู้ลงทุนหลัก ปัจจุบันบริษัทได้ระดมทุนไปกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้การระดมทุนรอบพรีซีรีส์ C ของ Igloo ยังได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้นจาก ซีรีส์ B+ เมื่อปี 2565 ถึง 50% และบริษัทใกล้ที่จะทำกำไรได้ในปี 2567 นอกจากนี้การเพิ่มเบี้ยประกันรับรวม (GWP) ของ Igloo เป็น 2 เท่าของปี 2565 ยังเป็นไปตามแผนภายใต้อัตราการเผาเงินทุน (burning rate) ที่ต่ำ อันเป็นผลจากการทุ่มเทด้านวิศวกรรมและข้อมูล จนช่วยปูทางให้บริษัทสามารถทำผลกำไรได้ในปี 2567 ในที่สุด
“เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมลงทุนในบริษัทที่เราเคยให้การสนับสนุนเพื่อผลักดันการขยายกิจการในระยะกลาง (mid-stage) ซึ่งการเติบโตและการบรรลุผลกำไรของ Igloo ในอีกไม่นานนี้ทำให้เรามีความมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจที่จะสามารถหารายได้และขยายกิจการในตลาดประกันภัยในอาเซียน” เจสซิกา ฮวง โพเลอร์ หุ้นส่วนของ Openspace Ventures กล่าว “ทีมของเราทำงานร่วมกับ Igloo มาโดยตลอด ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าทั้งด้านการดำเนินกิจการและด้านการพาณิชย์ไปพร้อมกับการที่ธุรกิจได้บูรณาการ เพิ่มเติม และเสริมศักยภาพด้านต่างๆ ให้แข็งแกร่ง”
ตลาดประกันภัยในเอเชียยังคงเต็มไปด้วยโอกาสอีกมากมาย โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีการทำประกันภัยเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังมีโอกาสอีกมาก ซึ่งโอกาสในการเติบโตนี่เองที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะ Igloo ที่มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำเสนอนวัตกรรมการประกันภัยที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาด ช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของการประกันภัยทั้งสำหรับผู้รับประกันภัย นายหน้า ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค
ความสำเร็จล่าสุดของ Igloo ประกอบด้วย 2 เรื่องหลักๆ ได้แก่ การเปิดตัว Ignite by Igloo เมื่อปี 2565 ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพแก่คนกลางและนายหน้าในเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยปัจจุบัน Igloo ทำงานร่วมกับคนกลางและนายหน้ากว่า 22,000 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ราย เมื่อมีการขยายระบบไปยังตลาดอื่นๆ ในปี 2566 ทั้งนี้คนกลางและนายหน้าใน Ignite by Igloo นั้น กว่า 60% เป็นผู้หญิง ซึ่งสอด คล้องตามเป้าหมายของ Igloo ในการยกระดับฐานะการเงินแก่กลุ่มบุคคลที่มีโอกาสไม่มาก
นวัตกรรมอีกเรื่องหนึ่งก็คือดัชนีภูมิอากาศ (Weather Index Insurance) ของ Igloo ที่เป็นผู้บุกเบิกการประกัน ภัยแบบอิงตัวแปรบนพื้นฐานของบล็อกเชนเพื่อเกษตรกร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในเวียดนามและทั่วอาเซียน เพราะมีประโยชน์อย่างยิ่งในภาคการเกษตร ซึ่งแม้จะเป็นภาคธุรกิจที่มีความเก่าแก่ดั้งเดิม แต่ดัชนี ภูมิอากาศก็ได้ช่วยคุ้มครองชาวไร่ชาวนาหลายพันคนนับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ไร่กาแฟและไร่นามากถึง 125,000 ไร่
ที่ผ่านมา Igloo มีส่วนในการส่งมอบกรมธรรม์มากกว่า 500 ล้านรายการ และตั้งเป้าที่จะเพิ่มเบี้ยประกันรับรวมเป็น 2 เท่า ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยในวันนี้บริษัทมีพันธมิตรกว่า 75 ราย ใน 6 ประเทศ และขยายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งด้านสินเชื่อผู้บริโภค อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ อีกทั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา Igloo ยังได้รับรางวัล ‘อินชัวร์เทคแห่งปี’ จาก Asia Fintech Awards อีกด้วย
เงินลงทุนก้อนใหม่จะใช้ในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งจะช่วยเพิ่มใบอนุญาตดำเนิน กิจการคนกลางและนายหน้าทั่วทั้งอาเซียนภายในปีนี้ จากเดิมที่ได้รับใบอนุญาตในอินโดนีเซียไปเมื่อก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังจะใช้เพิ่มจำนวนพนักงานในด้านวิศวกรรม การพาณิชย์ กลยุทธ์ และการประกันภัย ส่วนในด้านผลิต ภัณฑ์และห่วงโซ่คุณค่านั้น บริษัทยังได้เตรียมที่จะทุ่มการลงทุนในด้านการประกันภัยรถยนต์ สุขภาพ และที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ การรับประกันภัยและการเรียกร้องสินไหมบนระบบดิจิทัล และเทคโนโลยี AI และบล็อกเชน
ราวนาค เมห์ตา ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Igloo กล่าวว่า “การสนับสนุนจากนักลงทุนเป็นสิ่งพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรค และเป็นหลักฐานว่ากลยุทธ์ของเราประสบผลสำเร็จ เราเป็นบริษัทอินชัวร์เทคเพียงรายเดียวในอาเซียนที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีช่องทางการกระจายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม”
“เงินทุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ Igloo และปูทางไปสู่การไขว่คว้าโอกาสในการเดินหน้ารุกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย เพื่อให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการประกันภัยที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือให้แก่ผู้บริโภค” เมห์ทากล่าว
“ตลาดประกันภัยในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง และได้แรงสนับสนุนจากการรับรู้ถึงความสำคัญของการทำประกันภัย แม้คนไทยจะเริ่มเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น แต่ยังมีช่องว่างและโอกาสอีกมาก เพราะอัตราการทำประกันภัยในไทยอยู่ที่ 5.5% เท่านั้น” จอห์น เฉิน ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Igloo กล่าวและเสริมว่า “Igloo วางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดประเทศไทยโดยมุ่งเป้าไปที่การใช้นวัตกรรมและการขยายพันธมิตรในประเทศ เพื่อเข้าถึงภาคธุรกิจใหม่ๆ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร”
Igloo ให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทย โดยได้จับมือกับ AIS Insurance Service และ realme เพื่อให้ความคุ้มครองโทรศัพท์มือถือ และร่วมมือกับ AirAsia Ride และ Bolt เพื่อดูแลด้านการประกันภัยอุบัติเหตุและรถยนต์ที่คุ้มครองรถแท็กซี่และไรเดอร์กว่า 60,000 คน อีกทั้งล่าสุดยังได้เปิดตัว Lazada Protect ซึ่งเป็นการประกันภัยกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดอีกด้วย
Related