นักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งจากลิกเตนสไตน์ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้เขาได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น
สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 2024 ในเชิงบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเขาคาดว่าจะไม่ถดถอย เพียงแต่จะเติบโตชะลอตัวลง หลังจากที่เศรษฐกิจได้เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับในปีนี้ LGT มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing เพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และถ้าหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ Fed จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอั
โดย LGT คาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน ขณะที่ GDP ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 2% และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ที่ 2% ได้ในช่วงไตรมาส 3
ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น LGT คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่
ทางด้านของเศรษฐกิจอินเดีย LGT คาดว่า GDP จะโตได้มากถึง 6% จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน สเตฟานยังมองว่าถ้าหากอินเดียไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นประเทศที่ส่งออกเหมือนกับจีน หรือแม้แต่ไทยได้
สำหรับจีน LGT คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 5% แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปถึงปี 2025 หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT มองว่าราคาบ้านในปักกิ่งลดลงไวมาก เขามองว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ช่วงยุค 1990
LGT ยังมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนี
ปิดท้ายด้วยเศรษฐกิจไทย LGT มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3% ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (Digital Wallet) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 นั้น LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุ
LGT ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ชอบคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น