ดีมานด์ “รถอีวี” อ่อนตัวกว่าที่คาด ตามด้วยปัญหาการทำ “สงครามราคา” ของ Tesla ทำให้ค่ายรถตะวันตกหลายรายเริ่ม “เปลี่ยนแผน” หันเข็มทิศสู่การผลิต “รถยนต์ไฮบริด” แทน
หลังตลาดรถยนต์เข้าสู่ศักราชใหม่แห่ง “รถอีวี” ค่ายรถยนต์ตะวันตกมากมายต่างปรับตัวมุ่งสู่ทิศทางนี้ โดยใช้แผนการเข็นรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มลักชัวรีขึ้นมาเป็นเรือธง เพื่อสร้างกำไรในเซ็กเมนต์ใหม่ให้ได้เร็วที่สุด แต่ในช่วง 2-3 เดือนมานี้ แผนการดังกล่าวเริ่มใช้ไม่ได้ผลเมื่อกลุ่ม ‘early adopter’ ที่มีกำลังซื้อสูงกลับเริ่มผ่อนดีมานด์การซื้อรถอีวีลง
ความต้องการในตลาดรถอีวีสหรัฐฯ เริ่มเปลี่ยนไป ผู้ซื้อรถรายใหม่ๆ เริ่มต้องการตัวเลือกรถยนต์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากกว่าและราคาเข้าถึงง่ายกว่า ทำให้รถยนต์ไฮบริดเป็นตัวเลือกที่ขายดีกว่ารถอีวี 100%
เทรนด์นี้ทำให้ค่ายรถหลายแห่งเริ่มเหยียบเบรกแผนการผลิตรถอีวีตั้งแต่ปลายปี 2023 และเริ่มวางแผนใหม่ในตลาดรถยนต์ เช่น General Motors (GM) ที่เปลี่ยนมาเน้นหนักการขายรถยนต์ไฮบริดในตลาดทวีปอเมริกาเหนือ หรือ Volvo ลดการอัดเงินทุนเข้าบริษัทลูก ‘Polestar’ ที่เป็นยี่ห้อรถอีวีในเครือ
สายสนับสนุน “ไฮบริด” อาจจะมาถูกทางมากกว่า
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์เหมือนแบ่งแนวทางกลยุทธ์เกี่ยวกับ “รถอีวี” ออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแรก เช่น GM, Volkswagen มองว่าควรจะข้ามขั้นตอนการผลิตรถยนต์ไฮบริด และมุ่งสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปเลยทีเดียว ขณะที่ฝ่ายที่สอง เช่น Toyota, Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Jeep) มองว่าควรจะทยอยปรับเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรถอีวี 100%
ที่ผ่านมาในตลาดก็ยังไม่ชัดเจนนักว่ากลยุทธ์ไหนที่จะดีกว่า จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ GM ในช่วงสัปดาห์นี้ คือสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าผู้บริหารในอุตสาหกรรมเริ่มมองว่า “รถยนต์ไฮบริด” คือสิ่งที่ควรมี
แมรี่ บาร์รา ซีอีโอ GM กล่าวถึงแผนการเปลี่ยนมาขายรถยนต์ไฮบริดไปก่อนว่าเป็นแผนรองรับในช่วงที่สหรัฐฯ ยังต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จให้มากกว่านี้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สะท้อนความเป็นไปของตลาดสหรัฐฯ ที่ผู้บริโภคยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับ ‘ความกังวลเรื่องระยะทางที่วิ่งได้’ ของรถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้
- ความหวังรถอีวี! นักวิจัยค้นพบเทคโนโลยีใหม่ผลิต “แบตเตอรี่” ให้ชาร์จเต็มได้ใน 5 นาที
- ‘BYD’ ผงาด! เบียด ‘Tesla’ ขึ้นแท่น “แชมป์ตลาดอีวี” Q4/2023 นับเป็นการเสียตำแหน่งในรอบ 9 ปี
สงครามราคาของ “Tesla” อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ
นอกจากปัจจัยเรื่องดีมานด์รถอีวีที่เริ่มชะลอตัวลง ยังมีอีกปัจจัยที่กระทบตลาดคือ การทำสงครามราคาของรถยนต์ Tesla
อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทรถ Tesla เริ่มทำสงครามราคาเมื่อปีก่อน โดยบริษัท Tesla สามารถทำได้เพราะปกติมีอัตรากำไรสูงอยู่แล้ว แต่บริษัทรถยนต์ที่อยู่มานานและเพิ่งมาปรับตัวผลิตรถอีวีไม่สามารถทำราคาแข่งขันได้ จึงต้องหาเส้นทางอื่นเพื่อแข่งในตลาดรถยนต์
โซลูชันในตลาดรถสหรัฐฯ ขณะนี้จึงเป็นการผลิตรถยนต์ไฮบริดแทน หลังจากดีมานด์รถยนต์ไฮบริดปรับขึ้นมาสูงกว่าซัพพลายที่มีจนราคาปรับสูงขึ้น ต่อจากนี้หากค่ายรถยนต์หันมาออกรถรุ่นไฮบริดมากขึ้น จึงน่าจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคในการมีตัวเลือกหลากหลายและราคาที่แข่งขันกันมากขึ้นด้วย