“เซ็นทรัลชิดลม” ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้างฯ ตัวท็อปของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ทั้งในแง่ของความเก่าแก่ที่เปิดมาร่วม 50 ปี อีกทั้งยังตั้งอยู่บนทำเลทองแยกเพลินจิต ติดรถไฟฟ้าสถานีชิดลม ส่วนในแง่ของรายได้ก็เป็นห้างที่ติดท็อป 3 ของตระกูลห้างฯ เซ็นทรัล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้วงการค้าปลีกมีการแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น นอกจากการขยายสาขาใหม่เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นแล้ว การรีโนเวตปรับโฉมสาขาเดิมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น จำเป็นต้องสร้างสีสันให้มีความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา
เซ็นทรัลชิดลมจึงได้ฤกษ์ในการปรับโฉมครั้งใหญ่ชนิดยกเครื่องใหม่ทั้งหมด จะมีความน่าสนใจอะไรบ้าง ไปดูกัน
1. งบลงทุน 4,000 ล้าน มากสุดตั้งแต่เปิดมา
เซ็นทรัลชิดลมได้เริ่มทำการรีโนเวตตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว โดยทำการรีโนเวตบางส่วน พร้อมกับเปิดให้บริการไปด้วย ใช้งบลงทุนมากถึง 4,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นการลงทุนที่เยอะที่สุดตั้งแต่เปิดให้บริการมา 50 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 มีการปรับทั้งภายนอก และภายใน ปรับโซนใหม่ ปรับโฉมเป็นห้างลักชัวรี หวังเทียบชั้นห้างหรูในยุโรป
ได้ขยายพื้นที่ส่วนกลางของห้างให้กว้างขวาง เพื่อปรับบรรยากาศให้หรูหรา และผ่อนคลาย ด้านสถาปัตยกรรม ได้ออกแบบ Façade ด้านนอกอาคาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของห้างเซ็นทรัลชิดลมให้มีความทันสมัยมากขึ้น เลือกใช้กระจกสีขาวขุ่น ซึ่งสามารถเรืองแสง และเปลี่ยนสีได้ในเวลากลางคืน
พร้อมกับเพิ่มทางเชื่อมต่อจากรถไฟฟ้า (Sky Bridge) ที่ชั้น 1 ซึ่งเชื่อมเข้าสู่ชั้นลักชัวรีโดยตรง พร้อมขยายทางเชื่อมรถไฟฟ้าเดิมที่ชั้น 2 เพื่อให้ลูกค้าเดินทางเข้าสู่ห้างเซ็นทรัลชิดลมได้สะดวกสบายมากขึ้น
2. พลิกโฉมสู่ห้างลักชัวรี
แต่เดิมห้างเซ็นทรัลชิดลมไม่ได้มี Position ระดับลักชัวรีโดยตรง แต่ด้วยกลุ่มลูกค้าในละแวกนั้นมีกำลังซื้อสูง การปรับใหม่ครั้งนี้จึงชูว่าเป็นห้างลักชัวรีไปเลยเต็มๆ พร้อมโซนใหม่ที่เป็นไฮไลต์ อย่าง Luxe Galerie จัดเต็มด้วยบูทีคของแบรนด์ลักชัวรีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Balenciaga, Bottega Veneta, Burberry, Celine, Chanel, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Fendi, Gucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Missoni, Miu Miu, Prada, Roger Vivier, Saint Laurent และ Versace พร้อมด้วย
และโซน Shoes Avenue โซนรองเท้าหรูที่ใหญ่ที่สุด พื้นที่สำหรับคอลเลกชันรองเท้าแบรนด์หรูที่สามารถเลือก และลองรองเท้าจากแบรนด์ลักชัวรี ได้หลากหลายแบรนด์ ครบทุกสไตล์ในพื้นที่เดียว โดยจะมีแบรนด์ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Giuseppe Zanotti, Mach & Mach, Rene Caovilla, The Attico เป็นต้น
3. สี Central Chidlom Rose Pink ชมพูหนึ่งเดียวของเซ็นทรัล
โดยปกติแล้วโลโก้ และสีประจำแบรนด์ของห้างเซ็นทรัลจะเป็น “สีแดง” แต่ด้วยความที่ต้องการสร้างความแตกต่างจากสาขาอื่น การรีโนเวตครั้งนี้จึงดีไซน์ใหม่ตั้งแต่อาคาร พื้นที่ข้างใน ไปจนถึงโลโก้ และสีประจำห้างฯ เพื่อสร้าง Identity ใหม่แบบเฉพาะเจาะจง
โดยที่ Identity ใหม่มีการเปลี่ยน ทั้งโลโก้, ฟอนต์ โดยได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์ใหม่ของห้างเซ็นทรัลชิดลม และการออกแบบสีใหม่ “Central Chidlom Rose Pink” หรือสีชมพูเซ็นทรัลชิดลม ที่ได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์อีเวนต์ของห้าง โดยสีใหม่นี้จะใช้เฉพาะที่ห้างเซ็นทรัลชิดลมสาขาเดียวเท่านั้น สีนี้จะให้ความรู้สึกเรียบหรู สง่างาม สดใส มีพลัง และสนุกสนานมากขึ้น
4. ร่วมงานกับสถาปนิก 4 สัญชาติ
โครงการนี้จะเป็นโครงการเดียวของห้างเซ็นทรัลที่มีการร่วมงานกับสถาปนิกหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายสไตล์ เพื่อสร้างความแตกต่างในแต่ละชั้น โดยดึงจุดเด่นของสถาปนิกแต่ละคนให้ออกมาอยู่ในโครงการ แต่รวมกันได้อย่างลงตัว โดยโครงการนี้ได้ร่วมงานกับ 4 สถาปนิกจาก 4 สัญชาติด้วยกัน ได้แก่ อังกฤษ, อเมริกัน, ญี่ปุ่น และไทย
5. อัปเกรดโซนบิวตี้
จุดยืนใหม่ของห้างเซ็นทรัลชิดลมมีเป้าหมายที่ต้องการเป็น Beauty Destination ระดับโลกให้ได้ การเนรมิต Beauty Galerie (บิวตี้ แกลเลอรี) โฉมใหม่จึงได้พื้นที่ใหญ่ถึง 6,000 ตารางเมตร จะขึ้นแท่นโซนบิวตี้ที่ใหญ่ที่สุดของห้างเซ็นทรัล พร้อมกับมีแบรนด์ลักชัวรี บิวตี้ตบเท้าเข้ามาเปิดร้านในโซนนี้กว่า 150 แบรนด์ และมีแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เช่น Augustinus Bader และ Officine Universelle Buly นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิก รวมถึงผลิตภัณฑ์ความงามเฉพาะกลุ่ม (Niche Beauty) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกชม
6. เพิ่มร้านอาหารเป็น 60 ร้าน
ต้องยอมรับว่าการเปิดศูนย์การค้า หรือห้างค้าปลีกในยุคนี้ จะขาดในส่วนของร้านอาหารไม่ได้ เป็นส่วนในการเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หลังจากรีโนเวตครั้งนี้ เซ็นทรัลชิดลมได้เพิ่มจำนวนร้านอาหาร และคาเฟ่เพิ่มขึ้น 3 เท่า จากเดิมที่มี 25 ร้าน เป็น 60 ร้านค้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการมาห้างเพื่อช้อปปิ้งเท่านั้น แต่มาแฮงค์เอาท์ก็ได้ ทำให้ห้างเซ็นทรัลชิดลมเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง และเป็นเดสติเนชันที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
7. เอาใจกลุ่ม Gen Z ด้วยโซนสนีกเกอร์
แต่เดิมกลุ่มกลุ่มค้าหลักของเซ็นทรัลชิดลมจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุหน่อย และมีกำลังซื้อสูง การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ยังมาพร้อมกับโจทย์ใหญ่ในการที่จับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่ม Gen Z มากขึ้นด้วย โดยได้เพิ่มสินค้าแฟชั่น และสตรีทแฟชั่นมากขึ้น พร้อมกับมี Sneaker Boulevard พื้นที่รวมรองเท้าสนีกเกอร์กว่า 800 คู่ ทั้งคอลเลกชันล่าสุด รุ่นพิเศษ รุ่นหายากจากหลากหลายแบรนด์ดัง เพื่อคนรักสนีกเกอร์โดยเฉพาะ ตอบโจทย์วัยโจ๋ที่ต้องมีไอเทมใหม่ หลังจากปรับครั้งนี้จากเดิมที่เซ็นทรัลชิดลมมีสัดส่วนลูกค้า Gen Z ราว 20% คาดว่าจะสร้างการเติบโตได้ที่ 30%
8. เตรียมเปิดเต็มรูปแบบ ธ.ค. นี้
ห้างเซ็นทรัลชิดลมได้ทยอยรีโนเวตมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปีก่อน บางโซนรีโนเวตแล้วเสร็จราวๆ 70% ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลารวม 2 ปีครึ่ง โดยมีกำหนดที่จะจัดงานแกรนด์ โอเพนนิ่งครบทั้งห้างในช่วงเดือนธันวาคม 2567 นี้ พร้อมกับพาเหรดงานอีเวนต์ตลอดทั้งปี
9. ไม่หวั่นทับรอยเซ็นทรัลเอ็มบาสซี
ด้วยความที่เซ็นทรัลชิดลม มีทำเลที่อยู่ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กันโดยตลอด มีทางเชื่อมทะลุถึงกัน ซึ่งหลังจากกการปรับโฉมใหม่นี้แล้ว เซ็นทรัลชิดลมจะมีความลักชัวรีมากขึ้น คำถามที่ตามมาก็คือ จะมีการทับไลน์กันหรือไม่ และจะแย่งลูกค้ากันเองหรือเปล่า
ประเด็นนี้ทาง “ณัฐธีรา บุญศรี” CEO กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ได้ให้คำตอบว่า คอนเซ็ปต์ของเซ็นทรัลเอ็มบาสซี กับเซ็นทรัลชิดลมมีความแตกต่างกัน โดยที่เซ็นทรัลเอ็มบาสซีจะเป็นศูนย์การค้า มีร้านค้าเป็นช็อปแยกของตัวเอง ส่วนเซ็นทรัลชิดลมจะเป็นห้างสรรพสินค้า เป็นแบบ Open Store ที่รวมสินค้าหลากลหายแบรนด์ไว้ด้วยกันในพื้นที่เดียวแบบไม่มีกำแพงกั้น ซึ่งโมเดลนี้จะมีลักษณะคล้ายกับห้างลักชัวรีในยุโรป
10. เป้าทราฟฟิกโต 20%
เป้าหมายใหญ่ของเซ็นทรัลชิดลม คือการเป็น The Store of Bangkok และเป็น Global Destination ในระดับโลก จากเดิมที่ห้างมีทราฟฟิกผู้ใช้บริการรวม 9 ล้านคน/ปี หลังจากปรับโฉมครั้งใหญ่มีการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มยอดขายเติบโต 30% และผู้ใช้บริการโต 20%
โดยปกติแล้วลูกค้าของเซ็นทรัลชิดลมจะมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 15,000 บาท/บิล โดยที่มีกลุ่ม Top Spender ที่มีการใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าปกติถึง 10 เท่า อยู่จำนวนไม่น้อย