”12Plus” Idol Marketing กรี๊ดเกาหลีเอฟเฟกต์แบรนด์ไทย

ในอดีต เวลฟ์ พลัส เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากในกลุ่มสาววัยรุ่นตอนต้น แต่การมีโปรดักต์เพียงไม่กี่ตัวและกลุ่มเป้าหมายก็โตขึ้นทุกวัน หากปล่อยไว้เฉยๆ โอกาสที่แบรนด์จะคงอยู่ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมีการวางแผนการขยายไลน์สินค้าไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น เพราะอย่างน้อยการเป็นสินค้าในกลุ่มเพอร์ซัลนัลแคร์ก็มีข้อดีตรงที่มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกทำมากมาย เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกจังหวะ และหาตัวช่วยเพื่อส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดให้ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว 

กลยุทธ์ที่ ทเวลฟ์ พลัส เลือกใช้จนกลายเป็นผู้สร้างสีสัน ทำให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น คือกลยุทธ์ Idol Marketing ซึ่งมีสูตรเฉพาะว่า จะต้องจับคู่ระหว่าง “ซุป’ตาร์สาวของไทย” กับ “ขวัญใจวัยรุ่นไทยจากเกาหลี” ที่เข้ามาตีตลาดไทยจนเกิดกระแสความนิยมทั้งซีรี่ส์ ดนตรี และไอดอลต่อเนื่องมานานกว่าสิบปี ที่สำคัญเป็นตัวช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ทเวลฟ์ พลัส ให้แข็งแกร่งในหมู่วัยรุ่น และขยายฐานลูกค้าจากลูกค้าเดิมที่ส่วนมากเป็นกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น ไปสู่กลุ่มสาวมหาวิทยาลัยและสาววัยทำงาน หรือครอบคลุมกลุ่มสาวๆ ตั้งแต่ช่วงอายุ 12-22 ปี 

วายามา ประเสริฐสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ทเวลฟ์ พลัส กลุ่มธุรกิจคอสเมติกส์ บริษัทโอสถสภา จำกัด เล่าว่า โอสถสภาเป็นแบรนด์ไทยรายแรกที่เลือกนำศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน โดยทำสัญญากับค่ายเอสเอ็มเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เลือกชอยซีวอน และทงเฮ 2 สมาชิกที่มีผู้ชื่นชอบสูงสุดจากวงซูเปอร์จูเนียร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และยึดกลยุทธ์ไอดอลมาร์เก็ตติ้งในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทเวลฟ์ พลัสมาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางกระแสความนิยมเกาหลีที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปจากวัยรุ่นไทย

ไม่ใช่แค่กลุ่มสินค้าเครื่องสำอางที่เลือกใช้สูตรพรีเซ็นเตอร์ไทยเกาหลีรวมกัน แต่ทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ล้วนแต่ใช้สูตรนี้ทั้งสิ้น ทำให้ภายใต้แบรนด์ทเวลฟ์ พลัสปีหนึ่งๆ จะมีภาพยนตร์โฆษณาออกมาถึง 4-5 เรื่องมาตลอด ส่งผลให้แบรนด์ทเวลฟ์ พลัสในภาพรวม กลายเป็นแบรนด์ของเทรนด์เซตเตอร์ในหมู่วัยรุ่นกลุ่มเดียวกับแบรนด์บีบี และไอโฟน

“ทเวลฟ์ พลัสเคยแข็งแกร่งมากในกลุ่มเด็กวัยรุ่นตอนต้น แต่ไอดอลมาร์เก็ตติ้งทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เดิมดูเป็นเด็กหน่อมแน้ม โตขึ้น Trendy ขึ้น เป็นผลของไอดอลมาร์เก็ตติ้งที่สะท้อนกลับมาในเชิงคุณค่าแบรนด์ (Brand value) เป็นการใช้เงินเพื่อฟิกซ์ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ได้ผลกลับมาในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ขยายไลน์โปรดักต์ได้ง่ายขึ้น” วายามา กล่าว

การทุ่มทุนทำตลาดด้วยกลยุทธ์ Idol Marketing ที่ต้องใช้งบมหาศาลสำหรับจ้างดาราระดับท็อปของไทย บวกกับดึงไอดอลจากเกาหลีที่อยู่ในกระแสนิยมของกลุ่มวัยรุ่นไทยเข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มความ “WOW” ให้แต่ละแคมเปญ ไม่ใช่เรื่องที่หวังเพียงยอดขายแค่ช่วงสั้นๆ แต่เป็นมาสเตอร์แพลนที่ทเวลฟ์ พลัสวางแผนไว้ล่วงหน้าและทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ตามเป้า ทั้งการทำให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น และขยายไลน์สินค้าเจาะเข้าไปยังตลาดที่มีมูลค่าสูงได้อย่างคุ้มค่ากับการลงทุนใช้งบการตลาดก้อนใหญ่ในแต่ละปี

“ผลจากการใช้ไอดอลเกาหลีมาประมาณ 2-3 ปี เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามั่นใจก้าวข้ามไปสู่กลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง เพราะนอกจากกระแสเกาหลี เทรนด์เครื่องสำอางเกาหลีก็ได้รับความนิยมตลอดช่วงที่ผ่านมาด้วย แล้วเราเป็นแบรนด์ที่แอสโซซิเอทความเป็นเกาหลีที่สุด เมื่อเราลอนช์โปรดักต์ที่อยู่ในกระแสเกาหลี ทาร์เก็ตกรุ๊ปก็มีความเชื่อ เพราะมันสามารถแอสโซซิเอทเรื่องของแบรนด์ และเทรนด์ที่เข้ากับตัวโปรดักต์” วายามา กล่าว  

ก่อนที่เธอจะสรุปชัดๆ อีกครั้งว่า “ทเวลฟ์ พลัส คอสเมติกส์ เป็นสินค้าที่ขยายไลน์มาจากอิทธิพลของกระแสเกาหลีอย่างแท้จริง” และเป็น “ผลของการใช้กลยุทธ์ไอดอลมาร์เก็ตติ้งที่เห็นผลชัดที่สุดแบรนด์หนึ่ง”

เฉพาะปีนี้ ทเวลฟ์ พลัสวางแผนที่จะใช้งบการตลาดถึง 600 ล้านบาท สำหรับกระตุ้นยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิมและการเปิดตัวสินค้าในแคทิกอรี่ใหม่คือครีมอาบน้ำ 

อย่างไรก็ตาม วายามายอมรับว่า วันหนึ่งกระแสเกาหลีก็คงจะแผ่วลงบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะถึงตอนนั้นเครื่องสำอางทเวลฟ์ พลัสที่เธอดูแลอยู่ ก็พร้อมจะมูฟให้ทันกับเทรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ตราบใดที่วัยรุ่นไทยยังคลั่งไคล้ศิลปินเกาหลีและกระแสเกาหลีก็ยังไม่จางหาย ทเวลฟ์ พลัสก็จะยังเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์เกาหลีเป็นแม่เหล็กเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายต่อไป เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่ากลุ่มวัยรุ่นไทยยุคนี้คลั่งไคล้ศิลปินเกาหลีมากเพียงไร และวงซูเปอร์จูเนียร์ที่ทเวลฟ์ พลัสเลือกใช้เป็นหลัก ก็เป็นบอยแบนด์ที่ยังได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ที่ทเวลฟ์ พลัสก็รู้ดีและยังไม่คิดจะปล่อยให้ตกไปอยู่กับแบรนด์อื่น 

“การตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่งเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งถ้าจะทำให้ชัดเจนและยั่งยืนความต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในช่วงแรก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางทเวลฟ์ พลัส ซึ่งยังจัดเป็นแบรนด์ใหม่และมีคู่แข่งที่แข็งแรงและอยู่ในตลาดมานานกว่า เราเชื่อว่าไอดอลจะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำแบรนด์ได้ชัด”  

ที่สำคัญ การรักษาสิทธิ์ในการใช้ไอดอลอย่างซูเปอร์จูเนียร์ ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของทเวลฟ์ พลัสเลยทีเดียว เพราะวายามาถึงกับบอกว่า

“ถ้าเห็นซูเปอร์จูเนียร์ปุ๊บก็เห็นทเวลฟ์ พลัส ถือเป็นกิมมิกที่ทำให้การตลาด WOWซูเปอร์จูเนียร์เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เข้ากับโปรดักต์คอนเซ็ปต์ ถ้าเราปล่อยปุ๊บเชื่อว่าคงจะมีคนคว้าไปทันที”

อย่างไรก็ตาม ความนิยมของซูเปอร์จูเนียร์ โดยเฉพาะชอยซีวอน และทงเฮ ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าทเวลฟ์ พลัสหลายตัว จะสร้างความสับสนให้กับลูกค้าหรือไม่ว่าเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ประเด็นนี้ผู้บริหารทเวลฟ์ พลัสบอกว่าไม่ต้องกังวล เพราะสูตรไอดอลมาร์เก็ตติ้งที่ทเวลฟ์ พลัสคิดขึ้นป้องกันปัญหานี้ไว้แต่แรก โดยกำหนดให้พรีเซ็นเตอร์ฝ่ายหญิงนอกจากเป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังทำหน้าที่แยกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไปในตัวด้วย

“สำหรับเครื่องสำอางเรามีแพนเค้กเป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก ซึ่งเป็นตัวแทนของสาวไทยยุคนี้ เพราะใครๆ ก็อยากสวยเหมือนแพนเค้ก” 

ถัดจากการเปิดตัวแป้งรองพื้นรุ่นใหม่ของทเวลฟ์ พลัส 12 Plus Miracle Photogenic Power ที่มีแพนเค้กเป็นพรีเซ็นเตอร์ หากใครได้เห็นโฆษณาครีมอาบน้ำที่มีแพนเค้กเป็นพรีเซ็นเตอร์ตามออกมาหลังจากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็สามารถเดาได้ทันทีว่า ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของทเวลฟ์ พลัส เพราะแม้จะใช้แพนเค้กเป็นพรีเซ็นเตอร์เหมือนกันแต่ไม่มีหนุ่มเกาหลีมาเพิ่มเสียงกรี๊ดให้กับผลิตภัณฑ์ตามสูตร

เพียงแต่เป็นการออกมาต้อนรับน้องใหม่ในตลาดครีมอาบน้ำของมิสทิน ซึ่งย้อนรอยด้วยการใช้แพนเค้กซึ่งเพิ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์และมีโฆษณาตัวใหม่ให้กับทเวลฟ์ พลัส มาโฆษณา ก่อนจะตามมาติดๆ ด้วยการเปิดตัวโฆษณาใหม่ของครีมอาบน้ำลักส์ ที่ดึงมีชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต มาเป็นพรีเซนต์ เพื่อตีกันคู่แข่งที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตามสูตรด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ครีมอาบน้ำซึ่งเป็นสินค้าแคทิกอรี่ใหม่ของทเวลฟ์ พลัสที่ส่งลงตลาดหลังจากเปิดตัวแป้งรองพื้นรุ่นใหม่ 1 สัปดาห์ ก็สามารถสร้างความแตกต่างให้เห็นในโฆษณาได้ด้วยสูตรไอดอลมาร์เก็ตติ้งแบบทเวลฟ์ พลัสแท้ๆ ที่จับคู่กันมาระหว่างสาวไทยกับหนุ่มเกาหลี โดยเลือกใช้อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ เป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วประกบด้วยหนุ่มพระเอกหนุ่มเกาหลี ลีมินโฮ ที่มีผลงานเข้ามาฉายให้คนไทยรู้จักทั้งในอดีต ปัจจุบัน และผลงานที่กำลังจะมีออกมาอีกในอนาคต 

 

เมื่อความแรงของพรีเซ็นเตอร์

เปลี่ยนอีเวนต์เป็นงานโฆษณาชั้นดี

กรณีการเปิดตัว12 Plus Shower Cream Exotic Korea Flower Formula เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่งโฆษณายุคใหม่ ที่ไม่เพียงแค่ทำให้โอสถสภาชะลองบซื้อสื่อในช่วงเปิดตัวไปได้เกือบเดือน ยังได้โฆษณาจาก Content ที่เข้าไปอยู่ในมีเดียต่างๆ โดยโอสถสภาเพียงแค่จัดอีเวนต์เปิดตัวและจัดกิจกรรมกับกลุ่มแฟนคลับให้กับดาราเกาหลีที่เลือกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น 

แน่นอนว่าโอสถสภาเก็บเบื้องหลังโฆษณาเป็นซีรี่ส์เผยแพร่ออนไลน์ไปทั่ว ซึ่งคลิปเบื้องหลังก็เป็นหนึ่งในกระแสเกาหลีที่ซีรี่ส์ดังหลายเรื่องนอกจากจะต้องมีกล้องหลัก ก็จะต้องมีกล้องรองเพื่อเก็บเบื้องหลัง ให้แฟนๆ ติดตามดูหลังจบซีรี่ส์หรือในยูทูบ เป็นการใช้เทคนิคที่ดึงผู้บริโภคเป็นฝ่ายเข้ามาหาแบรนด์อย่างแนบเนียน และกลายเป็นกระแสในวงการโฆษณาที่มักจะต้องมีคลิปเบื้องหลังถ้ามีดาราดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ 

กรณีครีมอาบน้ำทั้งสามแบรนด์ที่ออกโฆษณาใหม่พร้อมๆ กัน ทั้ง ทเวลฟ์ พลัส ลักส์ และมิสทิน ต่างก็มีคลิปเบื้องหลังให้ติดตามดูในเว็บไซต์แบรนด์ และตามยูทูบเหมือนๆ กัน 

พรีเซ็นเตอร์สำหรับครีมอาบน้ำครั้งนี้ ฝ่ายไทยคือ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ซึ่งเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าตัวอื่นของทเวลฟ์ พลัสมาก่อน และไม่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ครีมอาบน้ำที่ไหน แต่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสบู่ก้อนของลักส์ ซึ่งถือเป็นคนละแคทิกอรี่กัน 

การจะทำให้เกิดภาพจำว่าอั้มใช้ครีมอาบน้ำทเวลฟ์ พลัส ก็ต้องสร้างกิจกรรมให้ฮือฮา 

ทเวลฟ์ พลัส จัดห้องอาบน้ำกลางสยามพารากอน ให้อั้มมาอาบน้ำโชว์เพื่อเปิดตัวครีมอาบน้ำ โดยมีพรีเซ็นเตอร์ฝ่ายเกาหลี ลีมินโฮ เป็นพยานในที่เกิดเหตุ ทั้งกระแสข่าวก่อนกิจกรรมจะเริ่มขึ้น ภาพข่าวในงาน และกอสซิประหว่างการจัดกิจกรรมก็เป็นทั้งภาพและข่าวที่แพร่กระจายไปในทุกสื่ออย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่มีการพูดถึงอั้มอาบน้ำกลางห้าง ก็ย่อมจะทำให้คนนึกถึงแบรนด์ไปพร้อมกัน 

ก่อนหน้ากิจกรรมวันเปิดตัว จากความดังของอั้มและลีมินโฮ ก็มีผลพลอยได้ต่อแบรนด์ทเวลฟ์ พลัสอย่างต่อเนื่อง เพราะความดังของทั้งสองเพียงแค่ข่าวความเคลื่อนไหวของกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น เช่น กำหนดการถ่ายภาพยนตร์โฆษณา ก็มีกลุ่มแฟนคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันทเวลฟ์ พลัสก็เข้าไปมีส่วนร่วมและกำหนดแผนในทุกขั้นตอนของกิจกรรมเหล่านั้นด้วย

เช่นจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย สำหรับผู้ซื้อสินค้าทเวลฟ์ พลัส ให้มีสิทธิ์ลุ้นไปดูการถ่ายทำโฆษณาอย่างใกล้ชิด ได้สิทธิ์ไป Meet and Greet กับลีมินโฮในงานที่จัดขึ้นเป็นการเฉพาะ ภาพข่าวของทุกกิจกรรมก็เกิดมูลค่าต่อแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ภาพการถ่ายทำโฆษณาซึ่งกลายเป็นโฆษณาเสียเอง ก่อนที่โฆษณาตัวจริงจะตัดต่อแล้วเสร็จและเผยแพร่ออกมา 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบโฆษณาด้วยเหมือนกัน จึงเท่ากับทเวลฟ์ พลัสได้มูลค่าจากโฆษณาไปจำนวนไม่น้อยและไม่ได้จำกัดการโฆษณาด้วยรูปแบบของโฆษณาแบบเดิมๆ เหมือนในอดีต โดยเฉพาะโฆษณาที่เป็นการบอกเล่าปากต่อปากในกลุ่มแฟน และที่นิยมมากยุคนี้จากการกระจายข่าวในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ก็ยิ่งเป็นการโหมโฆษณาให้กับแบรนด์ทเวลฟ์  พลัสไปในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

กว่างบโฆษณาสำหรับครีมอาบน้ำของทเวลฟ์ พลัส ชุด “Foaming in Love” เสน่ห์…คอนโทรลได้ จะได้ใช้จริง ก็ปาเข้าไปเกือบปลายเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งเมื่อโฆษณาออนแอร์ โฆษณาชิ้นนี้ก็จะกลายเป็นโฆษณาที่มีคนจำนวนหนึ่งคอยเฝ้ารอดูอยู่แล้วในฐานะที่ติดตามความเคลื่อนไหวเหมือนมีส่วนเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่ต้น

ต้องหทัย กุวานนท์ ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้รับผิดชอบดูแลครีมอาบน้ำตัวใหม่นี้ บอกว่า การสร้างคาแร็กเตอร์ของแบรนด์กับการสื่อสารการตลาด เป็นสิ่งที่ทเวลฟ์ พลัสทำควบคู่กันมาตั้งแต่ต้น นอกจากใช้สูตรของไอดอลมาร์เก็ตติ้งจาก 2 ประเทศ ภายใต้การเลือกพรีเซ็นเตอร์ฝ่ายไทยให้สะท้อนกลุ่มเป้าหมาย ที่ต้องมีคุณสมบัติที่สาวๆ อยากเป็น คือ สวย มั่นใจ มีเสน่ห์ เหมือนกับพรีเซ็นเตอร์ที่เลือกใช้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-พัชราภา แพนเค้ก- เขมนิจ แพท-ณปภา ญาญ่า-อุรัสยา 

ส่วนดาราเกาหลีเป็นส่วนผสมที่แบรนด์ใช้สื่อสารเรื่องของเทรนด์ และไลฟ์สไตล์ที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ สิ่งที่ต้องทำควบคู่และสำคัญมากคือ การแตกไลน์สินค้าใหม่ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าไปพร้อมๆ กับมีแผนรองรับการออกสินค้าใหม่เป็นระยะๆ เพราะความถี่ของสินค้าวัยรุ่นต้องเปลี่ยนไวอย่างน้อยต้องมีสินค้าใหม่เกือบทุกไตรมาส 

“ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่ต้องเชื่อมโยงกับโพสิชันนิ่งของแบรนด์ทเวลฟ์ พลัสที่แข็งแรงอยู่แล้ว ในเรื่องของความหอม ความสวย มีเสน่ห์ มั่นใจ และมีแรงดึงดูด ซึ่งครีมอาบน้ำก็ตอบโจทย์นี้ทุกอย่าง” ต้องหทัยกล่าว

ทเวลฟ์ พลัส ตั้งเป้าไว้ว่าครีมอาบน้ำกระแสเกาหลีทั้งพรีเซ็นเตอร์และกลิ่นที่เปิดตัวภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ 12 Plus Shower Cream Exotic Korean Flower Formula ในราคา 29 บาท และ 53 บาท สำหรับขนาด 100 มล. และ 200 มล. ตามลำดับ จะมียอดขายภายในปี 2555 นี้อย่างน้อย 200 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดครีมอาบน้ำ 3,500 ล้านบาท เป็นผลตอบแทนจากงบการตลาดที่ใช้ในการเปิดตัวและทำตลาดรวม 100 ล้านบาทในปีนี้ 

ก่อนวางแผนที่จะโตแบบก้าวกระโดดเช่นเดียวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มียอดขายในปี 2554เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 100% จากปีก่อนหน้า และวางแผนจะโตสูงถึง 60% ในปีนี้ เพื่อชิงส่วนแบ่งมูลค่า 10,000 ล้านบาทของกลุ่มเครื่องสำอางในเซ็กเมนต์แมส และตั้งเป้าไว้ว่าผลรวมของทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์จะมียอดขายเติบโต 10-15% จากยอดขายรวมในปี 2554 ที่มีอยู่ราว 1,500 ล้านบาท

บทสรุปที่แท้จริงของไอดอลมาร์เก็ตติ้งที่ทเวลฟ์ พลัสเลือกใช้ ในท้ายที่สุดจึงเป็นการนำแบรนด์ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงรูปธรรมที่จับต้องได้จากยอดขาย แล้วนั่นคงเป็นการตีโจทย์ที่ชัดเจนที่สุดว่า จุดหลักสำหรับการสร้างแบรนด์และสร้างยอดขายที่แท้จริง คือภาคของความเป็นไทยล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์หรือยอดขาย ส่วนเกาหลีนั้นแค่กระแส ซึ่งเปรียบเหมือนพาหนะที่นำแบรนด์ไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น ถ้าสามารถเลือกใช้ได้ถูกทาง  

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

สัดส่วนรายได้ปี
2554 ประมาณ 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็น โคโลญจน์ 30 % โรลออนหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย 15% แป้งเย็น 35 % กลุ่มคอสเมติกส์ 20%

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; font-weight: bold;”>12 Plus Thai &
Korean Idol Marketing Time Line

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>ปี

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Idol
ที่เลือกใช้

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>ผลิตภัณฑ์

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>วัตถุประสงค์

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>งบการตลาด
(ล้านบาท)
2550 โฟร์-มด และ ชอยซีวอน 12 Plus
Fruity Almond Milk กระตุ้นยอดขาย ตอกย้ำแบรนด์ 180 2550 ขวัญ อุษามณี และชอยซีวอน 12 Plus
Pocket Moisture Cologne เปิดตัวสินค้าใหม่ 150 2552 อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ 4
หนุ่ม จาก Super Junior  ชอย ซีวอน, คิม รยออุค, ฮันคยอง, โจ คยูฮยอน 12 Plus Mini
Stick with Nano Anti-bacteria Plus Collagen เปิดตัวผลิตภัณฑ์ขนาดใหม่ 150 2552 แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, 
ชอยซีวอน และทงเฮ 12 Plus
Miracle BB Powder เปิดตัวสินค้าใหม่ 300 2553 แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ ,
ชอยซีวอน และทงเฮ 12 Plus
Miracle BB Perfect Powder กระตุ้นยอดขาย ตอกย้ำแบรนด์
ขยายฐานลูกค้า 150
(กลุ่มเครื่องสำอางเติบโต 100%) 2554 ญาญ่า – อุรัสยา เสปอร์บันด์ และ
7 หนุ่มจากซูเปอร์จูเนียร์ ได้แก่ ทงแฮ, ฮีชอล, อึนฮยอก, ชินดง, เยซอง,
อีทึก และ รยออุค 12 Plus Sexy
Cologne – – 2554 แพท ณปภา ตันตระกูล, ชอยซีวอน และ
คิมคีบอม 12 Plus Extra
Cool Powder Cooling Pink (มีสูตร Anti-Bacteria ใช้ดาราชายไทยอย่างอั้ม
อธิชาติ และณเดชน์ กระตุ้นยอดขาย 150 2555 แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์,
ชอยซีวอน และทงเฮ 12 Plus
Miracle Photogenic Power กระตุ้นยอดขาย ตอกย้ำแบรนด์ 

100
(ตั้งเป้าเติบโตเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง 60%) 2555 อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และลีมินโฮ 12 Plus
Shower Cream Exotic Korea Flower Formula เปิดตัวสินค้าใหม่ (ตลาดใหม่) 100