เสียวหมี่ คอร์เปอเรชัน (“เสียวหมี่” หรือ “กลุ่มธุรกิจ“; Stock Code:1810) บริษัทด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะด้วยการเป็นผู้นำด้านสมาร์ทโฟนและสมาร์ทฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) เผยผลการดำเนินงานไม่สอบทานสำหรับสามเดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 (“ไตรมาส 1 ปี 2567” หรือ “ช่วงเวลา”) โดยมีรายรับรายไตรมาสเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักจากไตร มาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (“YoY”) ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ในช่วงเวลาดังกล่าว รายรับรวมของกลุ่มธุรกิจ อยู่ที่ 75.5 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) กำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วทำสถิติสูงสุด โดยเพิ่มขึ้น 100.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) เป็น 6.5 พันล้านหยวน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (“EV”) และโครงการริเริ่มใหม่อื่นๆ จำนวน 2.3 พันล้านหยวน ซึ่งนับเป็น การส่งสัญญาณการเติบโตที่รวดเร็ว อันเป็นผลมาจากการดำเนินการตามกลยุทธ์การดำเนินงานหลักที่ “มุ่งเน้นทั้งในด้านขนาดและความสามารถในการทำกำไรควบคู่กัน” อย่างมีประสิทธิภาพ ในไตรมาส 1 ปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้นของเสียวหมี่ในระดับกลุ่มธุรกิจสูงถึง 22.3% เพิ่มขึ้น 2.8 จุดเปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) กลุ่มธุรกิจดำเนินการตามกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างเต็มกำลังความสามารถจนสามารถผลักดันการเติบโตของรายรับเป็นเลขสองหลักในไตรมาส 1 ในธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ สมาร์ทโฟน ผลิตภัณฑ์ IoT และไลฟ์สไตล์ รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ต แรงขับเคลื่อนการเติบโตหลายประการของเสียวหมี่ ผนวกกับประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) ได้ผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่เกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก
ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจหลักของเสียวหมี่ยังคงความแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีทรัพยากรเงินสดเป็นจำนวนมากทำให้เอื้อต่อการสนับสนุนที่แข็งแกร่งในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการพัฒนาธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ทรัพยากรเงินสดของกลุ่มธุรกิจมีมูลค่าถึง 127.3 พันล้านหยวน ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาในไตรมาส 1 อยู่ที่ 5.2 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 25.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีในด้านรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV)
กลยุทธ์สินค้าและบริการในกลุ่มพรีเมียม (premiumization) ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ของสมาร์ทโฟนพุ่งสูงขึ้น
ด้วยแรงผลักดันจากกลยุทธ์ “globalization” และ “premiumization” ส่งผลให้ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่เพิ่มขึ้น 33.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) เป็น 40.6 ล้านเครื่องในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งนับเป็นการเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สาม รายรับจากธุรกิจสมาร์ทโฟนเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่โดยแตะ 46.5 พันล้านหยวน จากข้อมูลของ Canalys เสียวหมี่ยังคงรักษาอันดับยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกสูงสุดหนึ่งในสามอันดับแรกติดต่อกัน 15 ไตรมาส โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 13.8% ในไตรมาส 1
ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสมาร์ทโฟนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 อยู่ที่ 14.8% เพิ่มขึ้น 3.6 จุดเปอร์เซนต์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) กลุ่มธุรกิจยังคงมุ่งสู่สินค้ากลุ่มราคาพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของบุคคลที่สาม ส่วนแบ่งการตลาดของเสียวหมี่ในการขายสมาร์ทโฟนในกลุ่มราคา 5,000 ถึง 6,000 หยวนในจีนแผ่นดินใหญ่สูงถึง 10.1% ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเพิ่มขึ้น 5.8 จุดเปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) นอกจากนี้ สัดส่วนยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมทั่วโลกของเสียวหมี่ยังแตะระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาส 1 โดยคิดเป็น 21.7% ของยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 1.4 จุดเปอร์เซ็นต์ จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)
การขยายตัวในระดับโลกของเสียวหมี่ส่งผลดี ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสำคัญๆ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลของ Canalys ในไตรมาส 1 ปี 2567 ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟน ของกลุ่มธุรกิจติดอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกใน 56 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก และเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกใน 67 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เสียวหมี่ติดอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกในตลาด 51 แห่ง และหนึ่งในห้าอันดับแรกในตลาด 65 แห่ง ความได้เปรียบทางการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจในตลาดเหล่านี้จึงมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อัตรากำไรของธุรกิจ IoT ทำสถิติสูงสุดด้วยยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอัจฉริยะขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตอันแข็งแกร่ง
ในช่วงเวลาดังกล่าว ยอดขายผลิตภัณฑ์ IoT และไลฟ์สไตล์แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายรับเพิ่มขึ้น 21.0% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) เป็น 20.4 พันล้านหยวน อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 4.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) เป็น 19.9% ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเสียวหมี่ ยังคงมุ่งมั่นผสานความเป็นผู้นำในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ IoT ต่อไป
ด้วยชื่อเสียงในท้องตลาด ทั้งยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และการมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยมภายในระบบนิเวศอัจฉริยะ รายรับของเสียวหมี่จากเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอัจฉริยะขนาดใหญ่จึงเพิ่มขึ้นกว่า 46% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยปริมาณการขายยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในระหว่างไตรมาสดังกล่าว ยอดจัดส่งเครื่องปรับอากาศสูงขึ้นกว่า 690,000 เครื่อง เพิ่มขึ้น 63%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ยอดจัดส่งตู้เย็นสูงขึ้นกว่า 530,000 เครื่อง เพิ่มขึ้น 52% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) และยอดจัดส่งเครื่องซักผ้าสูงขึ้นกว่า 360,000 เครื่อง เพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรทัศน์พรีเมียมของเสียวหมี่ยังคงได้รับการอัปเกรดอย่างต่อเนื่อง
ทิศทางการเติบโตของผลิตภัณฑ์ทุกประเภทยังคงแข็งแกร่ง จากข้อมูลของ IDC ยอดจัดส่งแท็บเล็ตของเสียวหมี่ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 93% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังได้สร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านอุปกรณ์สวมใส่อีกด้วย จากข้อมูลของ Canalys ยอดจัดส่งหูฟังเอียร์บัด TWS อยู่ในอันดับที่ 1 ในจีนแผ่นดินใหญ่ และก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ทั่วโลก
บริการอินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทั่วโลก
ในช่วงเวลาดังกล่าว บริการอินเทอร์เน็ตยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายรับแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 14.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) อัตรากำไรขั้นต้นของบริการอินเทอร์เน็ตสูงถึง 74.2% จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนของกลุ่มธุรกิจทั่วโลกและในจีนแผ่นดินใหญ่ต่างทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในเดือนมีนาคม 2567 จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนทั่วโลกแตะ 658.1 ล้าน เพิ่มขึ้น 10.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ในขณะที่ จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนในจีนแผ่นดินใหญ่แตะ 160.4 ล้าน เพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)
นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลกอย่างแข็งขัน โดยในไตรมาส 1 รายรับจากบริการอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศสูงถึง 2.5 พันล้านหยวน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์และคิดเป็น 31.2% ของรายรับจากบริการอินเทอร์ เน็ตทั้งหมด
ปรับขนาดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) เพื่อตั้งเป้าส่งมอบรถยนต์ใหม่กว่า 100,000 คันในปี 2567
การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) ของเสียวหมี่ได้จุดประกายความกระตือรือร้นอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้ และกลายเป็นกลไกใหม่ที่ก่อให้เกิดการเติบโต รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) รุ่นแรกของเสียวหมี่ คือ Xiaomi SU7 Series เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 นับเป็นการเติมเต็มกลยุทธ์แบบ “คน × รถยนต์ × บ้าน” (“Human × Car × Home”) ของกลุ่มธุรกิจ โดย Xiaomi SU7 Series ได้รับการวางสถานะให้เป็น “รถซีดานขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีเชิงนิเวศประสิทธิภาพสูง” มีทั้งหมดสามรุ่น ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 215,900 หยวน การเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้รับความสนใจจากตลาดอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดยอดสั่งซื้อจำนวนมาก ณ วันที่ 30 เมษายน ยอดสั่งซื้อสะสมของ Xiaomi SU7 Series มีจำนวนถึง 88,063 คัน และเมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 15 พฤษภาคม มียอดส่งมอบสะสมถึง 10,000 คัน ซึ่งนับเป็นการสร้างสถิติใหม่ในอุตสาหกรรมในด้านความรวดเร็วในการจัดส่งรถยนต์แบนรด์ใหม่ที่เปิดตัวครั้งแรก
ด้วยยอดขายที่โดดเด่นของ Xiaomi SU7 Series ซึ่งเกินความคาดหมายของตลาด กลุ่มธุรกิจจึงได้ตั้งเป้าในการส่งมอบรถยนต์ใหม่มากกว่า 100,000 คันในปี 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในขีดความสามารถในการแข่งขันและกำลังการผลิตของรถยนต์ซีรีส์นี้ เสียวหมี่พยายามขยายกำลังการผลิตโดยเริ่มการผลิตแบบสองกะในเดือนมิถุนา ยนเพื่อให้แน่ใจว่ามีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ตรงเวลา และเป็นการขยายเครือข่ายการขายและการบริการ นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจยังวางแผนว่าจะมีเครือข่ายการขายครอบคลุม 219 แห่ง ใน 46 เมือง และศูนย์บริการครอบคลุม 143 แห่งใน 86 เมือง ภายในสิ้นปี 2567
ในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยี (tech company) ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) เสียวหมี่ตั้งเป้าที่จะรวบรวมคุณสมบัติอัจฉริยะเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อเป้าหมายใหม่ในปี 2563-2573 นั่นคือการลงทุนในเทคโนโลยีหลักที่เป็นรากฐาน และการก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ในไตรมาส 1 ปี 2567 ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 5.2 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 25.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยเสียวหมี่มีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีอันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV) อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการพัฒนา Xiaomi Pilot Autonomous Driving เสียวหมี่ยังคงมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการควบคุมเฟรมเวิร์กขั้นสูงที่รวมอัลกอริทึมอันล้ำสมัย เช่น Road-Mapping Foundational Model, Super-Res Occupancy Network Technology และ Adaptive BEV Technology นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการผลิตเทคโนโลยีโมเดล AI แบบครบวงจรเป็นครั้งแรกในแผ่นดินใหญ่ ทีมงานที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นอิสระของเสียวหมี่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เปี่ยมด้วยทักษะกว่า 1,000 คน โดยมีแผนที่จะขยายทีมงานเป็น 1,500 และ 2,000 คนในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ นอกจากนี้ City Navigate on Autopilot (NOA) บน Xiaomi Pilot Max ยังมีกำหนดเปิดตัวใน 10 เมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 และคาดว่าจะครอบคลุมทั่วประเทศภายในเดือนสิงหาคม 2567
Related