นายฐิติ ทองเบญจมาศ Group Deputy Chief Executive Officer บริษัท ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด (T&B Media Global (Thailand) Co., Ltd.) ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทกำลังจะมีผลงานแอนิเมชันเรื่องใหม่ ชื่อ “Out of the Nest” องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ ซึ่งทุ่มทุน 17 ล้านเหรียญ หรือราว 620 ล้านบาท สร้างขึ้น จากความร่วมมือ 3 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือ ไทย ที่นอกจาก T&B แล้ว ยังมีสตูดิโอ Riff Studio มาช่วยออกแบบตัวละคร ฝ่ายที่สองเราได้ Base FX จากจีน ซึ่งเคยมีผลงาน “Wish Dragon”, “Kung Fu Panda” และ “Shrek” มาช่วยด้านโปรดักชั่น และ ฝ่ายที่สามคือ Andrew Gordon โปรดิวเซอร์ระดับ Hollywood ที่มีผลงานสร้างชื่ออย่าง “Toy Story 3”, “Finding Nemo”, “Finding Dory”, “Monsters, INC”, “The Incredibles” และ Arturo Hernandez ผู้กํากับที่เคยทำ “Atlastis: The Lost Empire”, “Hercules” และ “Treasure Planet” มากํากับ และเขียนบทร่วมกับ Gillian Berrow นักเขียนบทชื่อดัง ซึ่งมีผลงานอย่าง “My Little Pony: Friendship Is Magic”, “Spirit Riding Free” และ “DC Super Hero Girls” และ Fabrizio Mancinelli นักประพันธ์ดนตรีชื่อดัง ในแอนิเมชันและภาพยนตร์ “The Snow Queen 3: Fire and Ice” และ “Green Book” ที่ล่าสุดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Outstanding Original Score for an Independent Film จากภาพยนตร์สั้น “Mushka” และรางวัล David Raskin Award for Emerging Talent จากภาพยนตร์ “The Land of Dreams” จากเวที SCL (Society of Composers & Lyricists) Award 2024 มาดูแลเกี่ยวกับเพลงของ “Out of the Nest” เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง East และ West ที่ต่างฝ่ายต่างเอาความถนัดมาเติมให้เต็ม” นายฐิติกล่าว
การได้พาร์ทเนอร์ที่ล้วนแล้วแต่เป็นมือดีของวงการ นายฐิติกล่าวว่า หลักๆ น่าจะเป็นเพราะความเชื่อมั่นที่แต่ละคนมีต่อ ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ หรือ ดร.แตน ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท T&B ซึ่งก่อนหน้านี้มีผลงานหลายอย่างเป็นที่ประจักษ์ อย่างเช่น “Shelldon” ที่แฟนแอนิเมชันหลายๆ ประเทศรู้จักกันดี และการร่วมมือครั้งนี้ T&B ถือเป็นแกนหลัก
“คิดง่ายๆ เหมือนเราจะสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่ง ก็มีเจ้าเมืองที่เป็นแกน วางมาสเตอร์แพลนทั้งหมด โดยเราเป็นคนวางว่าไอเดียแบบนี้ แมสเสจแบบนี้ที่เราต้องการสื่อ Co-writer ก็จะมาช่วยกลั่นกรองให้มันโฟลว์ในเนื้อเรื่อง Director มาควบคุมโปรดักชั่น ให้แสง สี เสียง การตัดต่อ ร้อยเรียงไปอย่างที่เราต้องการ ผมมองว่าการนำจิ๊กซอว์หลายๆ อันมารวมกัน ต้องมีกาวที่ มาช่วยให้ต่อกันได้สนิท ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีฝีมือโดดเด่นเฉพาะตัว
ถึงแม้ “Out of the Nest” องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ จะยังไม่ได้ลงโรงฉาย แต่ล่าสุดเราก็ไปสร้างชื่อในต่างแดนมาเรียบร้อยแล้ว โดยได้รับ Annecy Selections ในหมวด Annecy Presents จากงาน Annecy International Animation Film Festival ปี 2024 มาครอง โดยงานดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในงานเทศกาลภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“ซึ่งเราเป็นแอนิเมชันของไทย ที่เป็น 1 ใน 12 เรื่อง จากทั้งหมด 3,000 กว่าเรื่องทั่วโลก ที่ได้รับเลือก ถือเป็นรางวัลการันตีคุณภาพได้อย่างสูงสุดในวงการแอนิเมชัน”
ในส่วนของการจัดฉาย นายฐิติกล่าวว่านอกจากจะเข้าโรงภาพยนตร์ในไทยและจีนแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการเซ็นสัญญากับบริษัทจัดจำหน่ายรายใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสที่จะรับหน้าที่จัดจำหน่ายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยจะมีทั้งการฉายในโรงภาพยนตร์และตามแพลตฟอร์มต่างๆ และนอกเหนือจากการฉายในรูปแบบภาพยนตร์แอนิเมชั่น แล้วจะต่อทำการต่อยอด “Out of the Nest” องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ ไปในรูปแบบของเพลง, เกม, สินทรัพย์ดิจิทัล และอื่นๆ
“Out of the Nest” องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ จะฉายในไทยและทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ ช่วงเวลาเดียวกันเราจะทำเพลง โดยคอลแลปกับกลุ่มศิลปินที่มีชื่อเสียงพร้อมกับการทำเกมที่เป็นสากลที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถเล่นได้ ต่อยอดด้วย NFT แล้วก็ยังมี Merchandising ที่กำลังคุยอยู่กับหลายเจ้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก นอกจากนี้เรากำลังเจรจากับเจ้าของโรงแรมที่จีน เพื่อเอาคอนเซ็ตป์ของลูกไก่ทั้ง 7 ไปสร้างเป็นห้องพัก และกำลังเจรจากับสวนสนุก เพื่อจะมีมาสคอตเข้าไปสร้างความสุขในนั้น รวมทั้งเกมอินเตอร์แอ็คชั่น และที่สุดของการทำให้ IP ของเรามีชีวิตยืนยาว คือการนำไปสู่ Metaverse คือ โลกเสมือนที่ทุกคนทั่วโลกสามารถเข้าไปอินเตอร์แอ็คเสมือน IP นั้นมีชีวิตขึ้นมา นั่นคือ เราจะบอกว่าต่อไปนี้ T&B ไม่ใช่บริษัทแอนิเมชัน แต่เป็นบริษัท 360 องศา Entertainment Technology ที่เอาเทคโนโลยีมาร้อยเรียงให้ IP สามารถกระจายในตัวของมันเอง และมีชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งจะต่อยอดรายได้ให้บริษัทต่อๆ ไป”
ในส่วนของแอนิเมชัน นายฐิติกล่าวว่าแม้แรกเริ่มจะมองกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก แต่หลังจากนั้นพบว่ากลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ก็ชอบ กลายเป็นหนังที่เหมาะกับทุกคน
“ตอนแรกเราตั้งใจจะสื่อสารให้เด็กทราบว่าการเป็นตัวของตัวเองและเคารพผู้อื่น ให้เกียรติกันและกันเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่กลายเป็นว่าเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น จะได้รับแมสเซจที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่พาลูกไปดู พ่อแม่ก็รู้สึกว่ามันแฝงบทเรียน คำสอนที่ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เรียกเด็กมานั่งสอน ส่วนลูกก็ได้เรียนรู้จากเนื้อเรื่อง วัยรุ่นก็ได้ในมุมของเขาและถ้าไปดูด้วยกัน อย่างน้อยมันก็จะเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัว ดูแล้วมาคุยกันว่าทำไมหนังถึงสื่อแบบนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้มาดู ได้มาสัมผัสกับแอนิเมชันระดับโลกที่เป็นของคนไทย และได้รู้สึกภาคภูมิใจไปด้วยกันครับ” นายฐิติกล่าวในที่สุด
สามารถติดตามข่าวสาร อัปเดตความเคลื่อนไหว และกิจกรรมต่างๆ ของ “Out Of The Nest” ได้ทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม หรือ #outofthenest และเตรียมรับชมความสนุกในโรงภาพยนตร์ เร็วๆ นี้