ในวันที่ทั่วโลกต่างเจอกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้หลายประเทศออกมาตรการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงประเทศที่มีประชากรและขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอย่าง จีน ที่ถือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุดดในโลกก็พยายามจะหันไปใช้ พลังงานสะอาด มากขึ้น
ตามการศึกษาวิจัยโดย Global Energy Monitor ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า จีน กำลังสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของจำนวนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่กำลังก่อสร้างทั่วโลก
โดยปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตพลังงานสะอาดที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวม 339 กิกะวัตต์ (GW) โดยประกอบด้วย พลังงานลม 159 กิกะวัตต์ และ พลังงานแสงอาทิตย์ 180 กิกะวัตต์ โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าประเทศอันดับสองอย่าง สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพได้เพียง 40 กิกะวัตต์ เท่านั้น หรือประมาณ 8 เท่า
ทั้งนี้ จีนถือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดของโลก แต่จีนเองก็ประกาซว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ถึง จุดสูงสุดภายในปี 2030 และเป็นศูนย์ภายในปี 2060 แต่การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็วนี้ อาจทำให้จีนไปถึงเป้าหมายเร็วกว่ากำหนด
ที่ผ่านมา จีนเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจาก ถ่านหิน เป็นหลัก แต่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีนลดการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเหลือ 53% โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2023 ที่การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมีสัดส่วนที่ 60% และคาดว่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดจะแซงหน้าการใช้ถ่านหินในปีนี้
เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้สภาพอากาศเลวร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น โดยจีนก็เป็นประเทศที่เผชิญกับภัยธรรมชาติหลายระลอกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยภาคเหนือก็ต้องเผชิญอากาศร้อนจัด ส่วนภาคใต้ก็เจอปัญหาฝนที่ตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มหลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา