ขึ้นภาษีมันน้อยไป! ‘สหรัฐฯ’ เล็ง ห้ามนำเข้ารถและชิ้นส่วนจาก ‘จีน-รัสเซีย’ หวั่นเป็นภัยความมั่นคง

ภาพจาก Unsplash
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมา ขึ้นภาษีรถอีวีจากจีน 100% โดยหลายคนมองว่าเป็นปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ รวมถึงอาจทำให้จีนมาลงทุนเปิดโรงงานในประเทศ และล่าสุด รัฐบาลได้เล็งจะออกกฎเพิ่มเติมเพื่อแบนรถและชิ้นส่วนจากจีนและรัสเซีย

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอกฎหมาย ห้ามนำเข้ายานพาหนะและชิ้นส่วนที่มีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ผลิตโดยจีนหรือรัสเซีย เนื่องจากมองว่าทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และรถยนต์รวมถึงชิ้นส่วนจากทั้ง 2 ประเทศ อาจกลายเป็นเครื่องมือสําหรับแฮกเกอร์ชาวจีนและรัสเซียในการ เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับ ครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของสหรัฐอเมริกา รวมถึงอาจ เจาะระบบหรือเข้าควบคุมรถยนต์ ขณะที่มีการขับขี่บนท้องถนนของสหรัฐฯ ได้จากระยะไกล หรือที่เลวร้ายสุดคือ การปิดระบบรถยนต์ทั้งหมดให้ใช้การไม่ได้ 

ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับมือกับภัยด้านความมั่นคงในรูปแบบใหม่นี้ ดังนั้น ยานพาหนะหรือส่วนประกอบที่ผลิตในจีนหรือรัสเซียที่มีเทคโนโลยีที่กําหนดเป้าหมาย โดยเฉพาะรวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้ยานพาหนะสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกผ่านหน่วยควบคุมเทเลเมติกส์ บลูทูธ เซลลูลาร์ ดาวเทียม และโมดูล Wi-Fi Commerce หรือเทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติ จะถูกห้ามจำหน่ายและนำเข้าทั้งหมด ยกเว้นเฉพาะยานพาหนะที่ไม่ได้ใช้บนถนนสาธารณะเท่านั้น เช่น ยานพาหนะที่ขับในฟาร์ม

“ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์บางอย่างในยานพาหนะที่เชื่อมต่อจะช่วยให้สามารถจับภาพข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หรือโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ ซึ่งประเทศที่น่ากังวลเหล่านี้อาจใช้เทคโนโลยีที่สําคัญภายในซัพพลายเชนของเราสําหรับการเฝ้าระวังการก่อวินาศกรรมเพื่อบ่อนทําลายความมั่นคงของชาติ” 

อย่างไรก็ตาม หากกฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้ จะเริ่มมีผลกับรถยนต์รุ่นตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป และมีผลที่ระดับฮาร์ดแวร์ในปี 2030 และไม่ใช่แค่ค่ายรถจีนที่ได้ผลกระทบ เพราะปัจจุบันเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) และ ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford) ค่ายรถสหรัฐฯ ก็จะต้องหยุดการนำเข้ารถยนต์จากจีน นอกจากนี้ ยังกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจีน เช่น Volvo

“รถยนต์ในปัจจุบันมีกล้อง ไมโครโฟน การติดตาม GPS และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และหากศัตรูต่างชาติที่เข้าถึงข้อมูลนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อทั้งความมั่นคงของชาติและความเป็นส่วนตัวของพลเมืองสหรัฐฯ ได้”

Source