ดูท่าทางแล้วประเทศไทยน่าจะเป็นตลาดที่หอมหวนสำหรับแบรนด์จีน เพราะนอกจากบรรดาแบรนด์ระดับโลกในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สินค้าเทคโนโลยี รถยนต์และรถอีวีแล้ว ล่าสุด ‘อู่เหลียงเย่’ ผู้ผลิตสุราจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 700 ปี และยักษ์ใหญ่เบอร์ต้น ๆ ในธุรกิจนี้ของจีนก็ประกาศขอรุกตลาดในบ้านเราจริงจัง ท้าชิงกับ ‘เหมาไถ’ สุราจีนแบรนด์ระดับตำนาน
“ตอนนี้เราเห็นการหลั่งไหลเข้ามาในไทยของแบรนด์จีนในไทย เพราะตลาดภายในประเทศจีนมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ ทำให้แบรนด์จีนต้องไปโต ‘นอกบ้าน’ บวกกับพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีได้ทลายกำแพงทางการค้า และสุดท้าย ตอนนี้สินค้าจีนได้รับการยอมรับในระดับโลกมากมาย ทั้ง หัวเว่ย เสียวหมี่ และ BYD จึงทำให้แบรนด์จีนมั่นใจในการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ส่วนสินค้าจีนที่คุณภาพไม่ดี ผมมองว่าจะไปต่อลำบาก”
เป็นคำอธิบายจาก ‘เติมพงศ์ อยู่วิทยา’ กรรมการ บริษัท แกแล็คซี่ เอ็ดดูเทนเม้นท์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสุราจีนอู่ เหลียงเย่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยว่า ทำไมถึงได้เห็นการเข้ามาบุกตลาดของแบรนด์จีนในบ้านเรากันอย่างคึกคักในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับอูเหลียงเย่ เป็นผู้ผลิตสุราจีนและตัวแทนของไป๋จิ่ว (เหล้าขาว) ระดับชาติจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน โดยมีตำนานกว่า 700 ปี และมีการรีแบรนด์ใหม่กว่าร้อยปี ปัจจุบันเป็นแบรนด์สุราจีนเบอร์ 2 มีมาร์เก็ตแคปกว่า 1 ล้านล้านหยวน โดยเมื่อปี 2566 อู่เหลียงเย่ กรุ๊ป มีรายได้จากการขายรวม 177.1 พันล้านหยวน หรือราว 847.6 พันล้านบาท และมีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนการเข้ามารุกตลาดในไทยครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง ‘อู่เหลียงเย่ กรุ๊ป’ เจ้าของอู่เหลียงเย่ กับ ‘บริษัท แกแล็คซี่ เอ็ดดูเทนเม้นท์ จำกัด’ ซึ่งเติมพงศ์ บอกว่า อู่เหลียงเย่วางประเทศไทยเป็น ‘หมุดหมาย’ ที่ต้องปักธงทางธุรกิจให้ได้ ไม่ใช่ ‘ทางผ่าน’ เพื่อหวังผลไปสร้างการเติบโตในประเทศอื่น
โดยเหตุผลที่ผู้ผลิตสุราจีนยักษ์ใหญ่รายนี้ให้สนใจตลาดไทย นั่นเพราะว่า
1.ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภูมิภาคอาเซียน
- ประเทศมีคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
3.คนไทยเป็นคนที่พร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่
4 .สุราจีนมีให้เลือกหลากหลาย แต่ในไทยมีการทำตลาดจริงจังเพียงรายเดียว นั่นคือ ‘เหมาไถ’ ทำให้ช่องว่างในตลาดที่จะเติบโต
“คนดื่มสุราจีนในไทยยังน้อย เราเลยมองเป็นโอกาส โดยอู่เหลียงเย่วางโพสิชั่นของแบรนด์จับกลุ่มพรีเมียม โฟกัสคนอายุ 40 ปีขึ้นไปในกลุ่มนักธุรกิจและผู้บริหาร รวมถึงกลุ่มคนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์พร้อมเปิดรับกับสิ่งใหม่”
อย่างไรก็ตาม ด้วยพฤติกรรมคนไทยที่นิยมดื่มเหล้าแดง และคุ้นชินกับวัฒนธรรมการดื่มจากฝั่งตะวันตกมากกว่า นั่นถือเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับอู่เหลียงเย่
ดังนั้น สเต็ปแรกของการทำมาร์เก็ตติ้ง จะโฟกัสในการของสร้างแบรนด์ และ Awareness ด้วยการสื่อสารถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 700 ปี และเน้นถ่ายทอดวัฒนธรรมการดื่มเหล้าขาวแบบจีน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Baijiu of Harmony: From China to Thailand ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับสากลของแบรนด์ที่ว่า The Baijiu of Harmony: From China to the World
ขณะเดียวกัน จะพยายามให้เกิดการได้ทดลอง ผ่านการจัดอีเวนต์ โดยเฉพาะในรูปแบบกาล่าดินเนอร์ ตลอดจนร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ด้านต่าง ๆ อาทิ การผนึกกับนักออกแบบเครื่องดื่มหรือ Mixologist เพื่อสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มต่างๆ , ความร่วมมือกับ Campari Group และ Michelin Guide เพื่อทำแคมเปญการตลาดร่วมกัน เป็นต้น
ส่วนช่องทางจำหน่ายนั้น จะเริ่มจากช่องทางที่รู้จักแบรนด์ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ภัตตาคารและร้านอาหารจีน ที่มีลูกค้าชาวจีน รวมถึงโรงแรม, ห้างค้าปลีกและร้านค้าต่าง ๆ
“วันนี้ตลาดและผู้บริโภครับรู้เร็วขึ้น แต่ด้วยเรายังใหม่ในตลาดประเทศไทย ต้องใช้ระยะเวลา”
ดังนั้น 2 ปีแรกของการทำตลาดอย่างจริงจัง อู่เหลียงเย่จึงไม่ได้มุ่งเน้นที่ยอดขาย แต่โฟกัสสร้างการรับรู้ ควบคู่ไปกับให้เกิดการทดลอง และในปีหน้าจะมีการนำสินค้าใหม่เข้าเสริมทัพ เพื่อเจาะตลาดในวงกว้างมากขึ้นด้วย
หลังจากนั้นอีก 3 ปี เมื่อคนเริ่มรู้จักและคุ้นเคยมากขึ้นน อู่เหลียงเย่จะขยับมาจับกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อยลง นั่นคือ กลุ่มอายุ 25-35 ปี ซึ่งเป็นลูกค้าฐานใหญ่ ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของโปรดักส์ที่นำมาวางจำหน่ายในไทยให้มากขึ้น เพราะนอกจากเหล้าขาวแล้ว อู่เหลียงเย่ยังมีไลน์โปรดักส์สินค้าอื่น ๆ อาทิ เครื่องดื่ม RTD (Ready to Drink) เป็นต้น
สำหรับ ‘เหมาไถ’ สุราจีนยักษ์ใหญ่แบรนด์ดังอีกรายที่เข้ามาทำการตลาดในไทยก่อนหน้านานพอสมควร เติมพงศ์ ยอมรับว่า แบรนด์ดังกล่าวทั้ง ‘ดัง’ และ ‘แข็งแกร่ง’ บวกกับการบุกตลาดต่างประเทศมาก่อน จึงถือว่าได้เปรียบไม่น้อย แต่เขาคิดว่า อู่เหลียงเย่สู้ได้
“ในตลาดจีนทั้งสองแบรนด์สูสีกัน ทั้งเรื่องของแบรนด์ มาร์เก็ตแคป และความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ด้วยในไทยเขามาทำตลาดก่อน รู้จักในกว้าง เรามาทีหลังต้องใช้เวลาและต้องทำให้ดีกว่า อย่างเรื่องราคา ตัวท็อปของเราอยู่ที่ 8,600 บาท ของเหมาไถอยู่ประมาณ 14,000 บาท”