ดูเหมือนว่าปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของ จีน จะหนักหนาสาหัส เพราะขนาดมหกรรมช้อปปิ้งแห่งปีอย่าง วันคนโสด หรือ 11.11 ก็ยังดันให้ยอดค้าปลีกของประเทศกระเตื้องขึ้นมาได้นิดเดียวเท่านั้น และที่เติบโตส่วนใหญ่ก็มาจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ
ในปีนี้ จีน พยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาหลายรอบเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของคนในประเทศ แต่ผู้บริโภคเองก็ยังรัดเข็มขัดแน่น โดยวัดได้จาก ยอดค้าปลีก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคในเดือนพฤศจิกายนที่เติบโตเพียง +3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในเดือนตุลาคมที่มีการขยายตัว +4.8%
ซึ่งการเติบโตในเดือนพฤศจิกายนไม่ควรจะน้อยกว่าเดือนตุลาคม เนื่องจากจีนมีแคมเปญใหญ่อย่าง วันคนโสด หรือ 11.11 โดย Lynn Song หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ING มองว่า นี่เป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ของเดือน เนื่องจากยอดค้าปลีกล้มเหลวในการสร้างโมเมนตัม ในขณะที่ สํานักสถิติของจีน อธิบายว่า ความต้องการภายในประเทศนั้น ไม่เพียงพอ อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าบางกลุ่มที่เติบโตอย่าง เครื่องใช้ในครัวเรือน ที่ยอดขายเติบโตถึง +22% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อีกกลุ่มก็คือ รถยนต์ ที่เติบโต +6.6% ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 9 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะสินค้าทั้ง 2 ประเภทได้รับการสนับสนุนจากโครงการแลกเปลี่ยนของรัฐบาล
ขณะที่สินค้าในกลุ่มอื่น ๆ นั้นหดตัวอย่างชัดเจน อาทิ ยอดขาย เครื่องสําอาง ลดลง -26% จากปีที่แล้ว ยอดขายแอปพลิเคชันการสื่อสารลดลง -7.7% ทองคําและเครื่องประดับลดลง -5.9% หรือแม้แต่ภาค กิน ดื่ม เล่น ที่เป็นสินค้าเชิงประสบการณ์ก็เริ่ม หดตัว หลังจากที่เติบโตมั่นคงเกือบทั้งปี
ปัจจุบัน จีนกําลังติดอยู่ในวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ เนื่องจากประมาณ 70% ของความมั่งคั่งของจีนติดอยู่ในทรัพย์สินอสังหาฯ ดังนั้น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์จึงทําลายจิตใจของผู้บริโภคด้วย
ไม่เพียงแค่วิกฤตของผู้บริโภคในประเทศ แต่จีนกำลังเจอปัญหาจากการเข้ารับตําแหน่งของประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเขาให้คํามั่นว่าจะ กําหนดภาษี 60% สําหรับสินค้าจีนทั้งหมด เขายังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี เพิ่มเติม 10% สําหรับสินค้านําเข้าของจีน