“ซิตี้แบงก์” คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 ฉายแววเติบโต 3.2% แนะรัฐเพื่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มทักษะแรงงาน เสริมศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ

ซิตี้แบงก์ คาดจีดีพีปีประเทศไทย ปี 2568 โต 3.2% จากการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น พร้อมกันนี้ คาดว่าการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจน้อยกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ภาคการส่งออกชะลอตัวจากประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พร้อมกันนี้มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ไปจนถึงปี 2569 เพื่อรองรับความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน

นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ซิตี้แบงก์ คาดว่าจีดีพีของประเทศไทยปี 2568 จะเติบโตที่ 3.2% เพิ่มจาก 2.7% ในปี 2567 โดยการบริโภคภาคเอกชน แม้จะเติบโตในอัตราชะลอลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และยอดขายรถยนต์ที่ซบเซา แต่ยังคงได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่แข็ง แกร่ง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เช่น การลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซนเตอร์ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งประเทศไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ภาครัฐต้องมีการพัฒนาปัจจัยด้านอื่น ๆ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน เช่น ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มกำลังการผลิต และพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ

ด้านภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ซิตี้แบงก์ได้ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2568 ลงมาที่ 39.8 ล้านคน หลังการท่องเที่ยวปีก่อนหน้าฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวอาจเพิ่มเป็น 1,298 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 44,000 บาท) ทำให้คาดว่ารายได้การท่องเที่ยวไทยปีนี้จะอยู่ที่ราว 9.3% ของจีดีพี ส่วนภาคการส่งออกคาดว่าจะเติบโตลดลง อยู่ที่ประมาณ 3% จากสถานการณ์การค้าโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนในการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะยังรัฐบาลบาลมีแผน กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ โดยซิตี้แบงก์คาดว่าการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2568 จะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณค้างจ่ายในปีงบประมาณ 2567 ขณะที่งบขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 วางไว้ที่ -4.5% ของจีดีพี ซึ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย เพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 โครงการ Easy E-Receipt 2.0 และ โครงการ คุณสู้ เราช่วย ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศช่วงครึ่งปีแรก สำหรับบัญชีเดินสะพัดปี 2568 ซิตี้แบงก์คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% ของจีดีพี เพิ่มจาก 2.1% ของจีดีพี ในปี 2567 จากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันลดลง และการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจะช่วยสนับสนุนค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง แม้จะต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

“สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อ มีการปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2568 อยู่ที่ 1.2% ส่วนหนึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ต่ำกว่าที่คาด รวมถึงความเสี่ยงขาลงจากสินค้าคงทนที่นำเข้าจากจีน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% นอกจากนี้ รัฐบาลอาจใช้โอกาสที่ราคาน้ำมันดิบลดลง เก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่มเติมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเติมเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐ ทั้งนี้ ตลอดปีนี้ไปจนถึงปี 2569 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% และดำเนินนโยบายแบบเป็นกลาง เพื่อรักษาช่องว่างของการใช้นโยบาย ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ดี ซิตี้แบงก์คาดว่ามีโอกาส 40% ที่ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครึ่งแรกของปี 2568 หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวตามคาดการณ์” นางสาวนลิน กล่าวสรุป