‘ยูนิโคล่ ประเทศไทย’ ประกาศเดินหน้านโยบายด้านความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด LifeWear = a New Industry ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก เน้นผลิตสินค้าให้พอเฉพาะที่ขาย และลดปริมาณการใช้พลาสติก
นับตั้งแต่ปี 2565 ‘ฟาสต์ รีเทลลิ่ง’ บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าชั้นนำของญี่ปุ่น โดยมี ‘ยูนิโคล่’ (Uniqlo) เป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่ที่สุดของเครือ ได้กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนและแผนปฏิบัติการสำหรับปีงบประมาณ 2575 ซึ่งมีการดำเนินการต่อเนื่องในทุกสาขาและทุกประเทศที่ยูนิโคล่เปิดดำเนินการ
รวมถึงในประเทศไทย ที่ ‘โยชิทาเกะ วากาคุวะ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้มาอัปเดตความคืบหน้าว่า นโยบายความยั่งยืนของยูนิโคล่มีเป้าหมายหลัก 2 ประการคือ การผลิตเสื้อผ้าที่สอดคล้องกับแนวคิด LifeWear และช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืนผ่านธุรกิจของบริษัท ผ่านแนวคิด LifeWear = a New Industry
แนวคิดนี้ ทางฟาสต์ รีเทลลิ่ง มองว่า จะสามารถบริหารระบบซัพพลายเชนทั้งหมดได้ดีขึ้นและควบคุมขั้นตอนการผลิตทั้งหมดได้โดยตรง ตั้งแต่คุณภาพ การจัดซื้อ การผลิต สิ่งแวดล้อม และสิทธิพื้นฐานของแรงงาน ขณะเดียวกันทาง ยูนิโคล่ก็เร่งแสวงหาโมเดลธุรกิจแบบหมุนเวียนมากขึ้น ในแง่ของการลด (reduce) การใช้ซ้ำ (reuse) และการรีไซเคิลเสื้อผ้าและทรัพยากร (recycle) เพื่อยืดอายุการใช้งานของ LifeWear ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
สำหรับการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนและแผนปฏิบัติการสำหรับปีงบประมาณ 2030 ทางฟาสต์ รีเทลลิ่ง กำหนดไว้ 2 แกนหลัก นั่นคือ ‘ผลิตเสื้อผ้าที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม’ และ ‘การผลิตเสื้อผ้าที่ดีสำหรับผู้คนและสังคม’ โดยปีงบประมาณ 2023
-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้ 69% และลดจากห่วงโซ่อุปทานได้ 10%
-เพิ่มสัดส่วนของวัสดุรีไซเคิลได้เพิ่มขึ้นเป็น 18.2%
-ตั้งเป้าหมาย Zero Waste โดยเน้นลดวัสดุเหลือทิ้งเมื่อส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า
ด้านกิจกรรมเพื่อสังคมของยูนิโคล่ ปีงบประมาณ 2024 (FY2024) มีผู้ได้รับประโยชน์ทั่วโลกกว่า 2.34 ล้านคน มีการบริจาคสิ่งของ 4.77 ล้านตัว และมูลค่ากิจกรรมการบริจาค 8.2 พันล้านเยน หรือ 1.8 พันล้านบาท โครงการ The Heart of LifeWear ตั้งเป้าในการส่งมอบฮีทเทค (HEATTECH) และ เสื้อผ้า LifeWear อื่นๆ จำนวน 1 ล้านตัว แก่ผู้ถูกบังคับให้พลัดถิ่น เด็กๆ ที่ขาดแคลน และผู้ประสบภัยพิบัติทั่วโลก ซึ่งยูนิโคล่จะบริจาคเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงสภาพอากาศของพื้นที่ของผู้รับบริจาคเป็นสำคัญ
สำหรับยูนิโคล่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2555 ได้ริเริ่มโครงการส่งต่อเสื้อผ้ายูนิโคล่ที่ได้รับการบริจาคจากลูกค้า เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ที่ต้องการ โดยได้บริจาคเสื้อผ้าไปแล้วกว่า 78,000 ตัว ให้แก่ผู้คนกว่า 4,500 คน ผ่านองค์กรพันธมิตรต่างๆ เช่น มูลนิธิบ้านร่มไทร จังหวัดเชียงใหม่
ปี 2563 ร่วมมือกับมูลนิธิบ้านร่มไทร ส่งมอบเสื้อผ้ายูนิโคล่ที่ได้รับการบริจาค ให้แก่ผู้ขาดแคลนในภาคเหนือของประเทศไทย และปี 2566 ได้เปิดตัว RE.UNIQLO Studio บริการซ่อมแซมและแปลงโฉมเสื้อผ้าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ ‘ยูนิโคล่ เซ็นทรัลเวิลด์’ ซึ่งในปี 2567 มีลูกค้ากว่า 18% ซื้อเสื้อผ้ายูนิโคล่ และนำมาใช้บริการ RE.UNIQLO Studio
ขณะที่โครงการ RE.UNIQLO ‘Warmth for All บริจาคเสื้อผ้ากันหนาว 50,000 ตัว เปิดตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยหนาวในภาคเหนือ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อส่งต่อให้ผู้ที่ต้องการผ่านความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านร่มไทร และ UNHCR ประเทศไทย
ส่วนเป้าหมายและแผนการด้านความยั่งยืนของยูนิโคล่ ประเทศไทย ในปี 2568 ได้แก่ โครงการ RE.UNIQLO Warmth for All ตั้งเป้ารับบริจาค 160,000 ตัว สานต่อความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านร่มไทร และ UNHCR ประเทศไทย รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ RE.UNIQLO Studio สนับสนุนให้คนไทยใช้ไอเทม LifeWear ที่มีอยู่ให้ยาวนานและยั่งยืนยิ่งขึ้นผ่านบริการ RE.UNIQLO Studio
ก้าวสู่เป้าหมายการลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) ลดการใช้พลาสติกในการขนส่ง โดยรวมบรรจุภัณฑ์เสื้อผ้าเข้าด้วยกันในถุงพลาสติกใบเดียวในการขนส่งจากโรงงานผลิตมายังร้านยูนิโคล่ ซึ่งประเทศไทยจะเริ่มดำเนินการสำหรับสินค้าฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิในปี 2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 1 ใน 4 ภายในปีนี้ ขณะเดียวกันได้สนับสนุนให้ลูกค้าใช้ถุงผ้าของตนเอง เพื่อลดการใช้ถุงกระดาษ
นอกจากนี้ เน้นผลิตเท่าที่ขายได้ ให้ความสำคัญกับการควบคุมบริหารสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการนำข้อมูลการซื้อขายผลิตภัณฑ์สุทธิทั้งปีมาคาดการณ์ยอดขายล่วงหน้าเพื่อวางแผนในการผลิตให้ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการขายในปีนั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสินค้า Overstock พร้อมทั้งการสร้างระบบในการรับฟังลูกค้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำเสื้อผ้าตามความต้องการผู้บริโภค ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นความท้าทาย คือ การปรับเปลี่ยนในด้านของห่วงโซ่อุปทานที่ต้องใช้เวลา การไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการไปสู่เงื่อนไขต่าง ๆ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายใต้แบรนด์ยูนิโคล่อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยมีพันธมิตรคู่ค้าที่หลากหลาย อาทิ ผู้จัดหาวัตถุดิบ โรงงานที่รับผลิตหรือผู้ดูแลเรื่องการจัดส่ง ทำให้การปรับเปลี่ยนด้านห่วงโซ่อุปทานยังล่าช้า