ปัจจุบัน แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งมีมากมายหลายแพลตฟอร์ม โดยส่วนใหญ่ก็จะเปิดให้ทุกระบบปฏิบัติการใช้งาน มีเพียงแค่ Apple TV ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ iOS และ MacOS ยกเว้นจะดูผ่านทีวี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนใช้มือถือ Android ก็สามารถดูได้แล้ว
อาจจะดูแปลกไปหน่อยสำหรับ Apple ที่ยอมปลดล็อกบริการสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Apple TV ให้กับคู่แข่งอย่าง Android อย่างไรก็ตาม การจะขยายฐานผู้ใช้ใหม่ ๆ จะอาศัยแค่การเติบโตของยอดขายอุปกรณ์คงไม่พอ
เพราะแม้ว่าในสหรัฐฯ จำนวนผู้ใช้งาน iPhone จะมีมากกว่าผู้ใช้มือถือ Android แต่ทั่วโลกตามข้อมูลของ Statcounter ระบุว่า สัดส่วนผู้ใช้ Android มีถึง 72% ดังนั้น การเปิดตัวแอป Android ขยายตลาดของ Apple อย่างมีนัยสําคัญ
ดังนั้น การเปิดให้มือถือ Android สามารถใช้งานบริการ Apple TV ได้ ถือเป็นสัญญาณว่า Apple จะไม่จํากัดศักยภาพการเติบโตของแผนกบริการ จากเดิมที่เก็บค่าบริการ Apple TV จากเฉพาะแค่กับอุปกรณ์ของตัวเองเท่านั้น
ที่ผ่านมา ธุรกิจบริการของ Apple สามารถทำรายได้ มากสุดเป็นอันดับ 2 โดยเป็นรองแค่ยอดขาย iPhone และบริการมีอัตรารายได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว นอกจากการสมัครสมาชิกเช่น iCloud แล้ว ธุรกิจบริการยังรวมถึงรายได้จากการขายโฆษณา ข้อตกลงกับกูเกิล, การรับประกันของ AppleCare และค่าธรรมเนียมการชําระเงินจาก Apple Pay และ Apple TV+
ซึ่ง Apple TV ถือเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมของ Apple และมีหลายรายการที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จัก เช่น รายการ “Ted Lasso” และ “Severance” นอกจากนี้ Apple TV ยังออกอากาศเกมเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ และเมเจอร์ลีกเบสบอล อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่เคยเปิดเผยถึงจํานวนผู้ชมของ Apple TV+ แต่ Nielsen ประเมินว่าคิดเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการดูทีวีชาวอเมริกันทั้งหมด คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อเดือนในสหรัฐอเมริกา และรวมอยู่ในหลายชุดพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud, Apple Music และการสมัครสมาชิกอื่น ๆ
สำหรับแอปพลิเคชัน Apple TV+ สามารถดาวน์โหลดผ่านแอปสโตร์ Google Play ได้ตั้งแต่วันนี้ ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์จอพับ โดยผู้ใช้จะสามารถชําระเงินด้วยบัญชี Google ของตนได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถใช้งาน iTunes Store ได้ ดังนั้น ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถเช่าหรือซื้อคอนเทนต์ใด ๆ จากสโตร์ของ Apple ได้