ถ้าพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์ สายกิน ของไทยในนาทีนี้คงจะไม่มีใครร้อนแรงเท่ากับ วิน มาวิน ทวีผล เจ้าของเพจ Mawinfinferrr ที่มีผู้ติดตามแตะหลักเกือบ 4 ล้านราย โดย Positioning จะพาไปสำรวจแนวคิดการสร้างตัวตนจนกลายมาเป็น ราชาอินฟลูฯ สตรีทฟู้ด
ถ้าเป็นผู้ตามก็ไม่มีวันเป็นผู้นำ
โดย วิน เล่าว่า จุดเริ่มต้นที่ทำเพจต้องย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน ที่ต้องเริ่มทำเพจเพราะงานในวงการบันเทิงเริ่มน้อยลง ซึ่งในตอนนั้นกำลังคบกับ ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ (ทายาทช่อง 3) เลยต้องหารายได้จากทางอื่นเสริม “ตอนนั้นผมเหลือเงินเดือนแค่สองหมื่นกว่าบาท จะอยู่ยังไง จะคบกับเมียยังไง”
โดยในยุคที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วม ไม่อยากตกเทรนด์ แต่วินเลือกที่จะ แตกต่าง โดยมองว่า ต้องสร้างตัวตน ต้องทำแบรนด์ ทำตัวเราให้แข็งแรงเพื่อ Lead คน “ผมเป็นคนไม่ค่อยเออออตามอะไร มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะถ้าเราเดินตามเขา เราก็ได้แค่ตาม เราต้องแตกแยกออกมา”
ด้วยความช่วยเหลือจากคุณตู่ ปิยวดี ภรรยา ที่ช่วยวางแผนและถ่ายทำคลิปให้ในช่วงแรก วินค่อย ๆ สร้างตัวตนผ่านการรีวิวร้านอาหาร โดยเฉพาะ ร้านริมทาง
“ผมเริ่มจากการที่ไม่มี ทำให้รีวิวแรก ๆ ไปได้แค่ร้านข้างทาง มีเงินไม่เกิน 300 บาท” ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้เขาแตกต่างคือ การให้พลังบวกกับร้านค้า ซึ่งในตลาดตอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอินฟลูฯ แนวกินจุ หรือรีวิววิจารณ์ร้าน
“ตอนนั้นยังไม่มีใครที่กินแล้วรู้สึกว่าให้พลังบวกกับร้านค้า ผมอยากเป็นแบบนั้น เพราะผมอร่อยง่าย ผมเคยล้มละลายไม่มีกินมาแล้ว แค่ข้าวจานใหญ่ ๆ น้ำปลาพริก พริกเยอะ ๆ ไส้กรอกชิ้นเดียว 20 บาท มันทำให้ผมอิ่มได้”
เชื่อมั่นและไม่หยุดเดิน
แน่นอนว่ากว่าจะเป็น ‘วิน’ ในทุกวันนี้ ไม่ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่ต้องใช้เวลาและความเชื่อมั่น “ตู่บอกว่าสิ่งที่พวกเราคิด มันไม่สามารถเกิดได้ในปีเดียวหรือ 2 ปี มันต้องค่อย ๆ สร้าง มันต้องใช้การสะสมพลังในตัวเรา และเราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ต้องไม่เขว”
นอกจากนี้ ต้อง อย่ากลัวที่จะพลาด พลาดได้แต่ต้อง ไม่พลาดซ้ำ และที่สำคัญ อย่ากลัวที่จะก้าวออกจากเซฟโซน ลงมือทำ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ วิน คอยสอนลูกน้อยอยู่เสมอ และการจะประสบความสำเร็จมันมีวิธีของมัน แต่สอนกันไม่ได้ เพราะอยู่ที่ ประสบการณ์ ซึ่งต้องค่อย ๆ สร้าง
“บางทีเราอาจจะล้มอาจจะพลาด แต่อย่ากลัวที่จะพลาด เราต้องหาวิธีเลี้ยวซ้าย บ่ายขวา เพื่อขึ้นไปข้างหน้าให้ได้ มันไม่ใช่ว่านับ 1 ไปถึง 10 อาจจะเป็นทำ 5 สองครั้งบวกกันได้ 10 ก็ได้”
หน้าจอเป็นอย่างไร นอกจอเป็นอย่างนั้น
อีกสิ่งที่มาวินมองว่าช่วยให้เขาสามารถมาถึงจุดนี้ก็คือ ใช้ความเป็นมนุษย์ และ ไม่มีอีโก้ แฟนคลับทุกคนสามารถเข้าถึงได้ หน้าจอเป็นอย่างไร ตัวจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการสร้างเพอเซ็ปชั่นที่ดีให้กับแฟนคลับ หรือคนที่ไม่รู้จัก ได้อยากทำความรู้จัก
“ถ้าเจอหน้ากัน คนยิ้มให้ผม ผมพร้อมที่จะเดินเข้าไปถามเลยว่าถ่ายรูปกับผมมั้ย ผมไม่มีอีโก้ ไม่กลัวหน้าแตก เพราะเจอกันครั้งเดียว อย่างน้อยเค้าได้ความทรงจำที่ดีติดไป ผมใช้วิธีนี้มาตลอด”
โซเชียลมีเดียสำคัญทุกช่องทาง
ปัจจุบัน วิน ขยายช่องทางไปยังทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok เพราะมองว่าการมีครบทุกแพลตฟอร์มเป็นส่วนสำคัญในการขยายฐานคนดู ซึ่งการทำคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ก็ถือเป็นการก้าวออกจากเซฟโซนอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ต้องปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละที่ เช่น YouTube อาจจะต้องเป็นคลิปยาว 20-30 นาที เพราะคนชอบอยู่นาน ๆ แต่ Facebook ต้องย่อยลงมาเหลือ 5 นาที ส่วน Instagram / Reels ต้องบีบให้เหลือแค่ 1.30 นาที เช่นเดียวกับ TikTok คลิปสั้น 1.30 นาที
“อย่างเมื่อก่อนผมจะไม่มีแฟนคลับที่เป็นเด็กประถมเลย แต่ตอนนี้มี TikTok เด็กโรงเรียนต่างจังหวัดบอก follow พี่อยู่ มันเป็นการสร้างฐานใหม่”
ไม่จำเป็นต้องทำแค่สายเดียว
ไม่ใช่แค่การรีวิวอาหาร แต่ วิน ยังเป็นหนึ่งในผู้จุดกระแส อาร์ตทอย ในไทยอีกด้วย เพราะมองว่าตอนที่อยู่สายอาหารมันถึงจุดสูงสุดที่ไปได้แล้ว ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คนในวงการอื่น ๆ รู้จัก ซึ่งการทำให้ผู้ติดตามใน Instagram เพิ่มจาก 6 แสน เป็น 1 ล้านราย
“ตอนนั้นผมไปเดินงานอาร์ตทอย ไม่มีใครรู้จักผม ดังนั้น ผมเลยอยากลองข้ามสาย เพื่อเพิ่มฐานผู้ติดตาม ให้คนในสายอื่นมารู้จักผมด้วย เพราะเมื่อสายเราตึง เราต้องขยับไปทางอื่น และผมอยากให้คนอื่นรู้ผมทำได้มากกว่า ไม่ใช่แค่สายเดียว”
ขอยืนข้างร้าน ไม่เอาลิ้นไปตัดสิน
วิน ยืนยันว่า เขายังคงเน้นการหาร้านข้างทางเพื่อรีวิว เพราะมันคือการซื้อประสบการณ์ ได้คุยกับพ่อค้าแม่ค้า บางร้านที่ไปรีวิวให้ จากเดิมที่เริ่มจากรถเข็น พอไปอีกทีเขาเริ่มมีเก้าอี้ มีโต๊ะ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนบางร้านสามารถปลดหนี้ได้ ส่งลูกเรียนได้ มันเป็นความสุขทางใจ แน่นอนว่า เงินเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ต้องทำงาน แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะหาเงินโดยไม่เบียดเบียนใคร
“ผมจะยืนอยู่ข้างร้านค้าเสมอครับ ผมมองว่าร้านค้าคือ อู่ข้าวอู่น้ำของครอบครัวเขา ผมจะบอกคนที่มารีวิวว่า อย่าเอาแต่ลิ้นไปตัดสินเขา ถ้ากินแล้วไม่อร่อย ให้มองรอบ ๆ ดู ถ้าคนอื่นยังยิ้มและหัวเราะกันอยู่ แสดงว่าคุณอยู่ผิดที่ ควรเอาตัวเองออกมาแล้วไปกินร้านอื่น อย่าสร้างปัญหาให้เขา”