EssilorLuxottica ตอกย้ำความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีเลนส์ STELLEST® ด้วยผลการศึกษาทางคลินิกระยะเวลา 5 ปี เผยประสิทธิภาพระยะยาวในการชะลอความก้าวหน้าของภาวะสายตาสั้นในเด็ก

Essilor® ประกาศผลการศึกษาทางคลินิกระยะเวลา 5 ปี เกี่ยวกับประสิทธิภาพของเลนส์ Essilor® Stellest® ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมภาวะการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้นและการยืดตัวของกระบอกตาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ผลการศึกษานี้ได้รับการเปิดเผยในงาน “Essilor® Stellest®5-Year Milestone Shaping the Future of Myopia Management” ซึ่งรวบรวมจักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสายตาชั้นนำในประเทศไทย อาทิ พญ. ณัฐธิดา วงศ์วีระวัฒน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางจักษุวิทยาเด็กโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, ดร.มายูมิ ฟาง นักทัศนมาตรและผู้จัดการฝ่ายวิชาการและฝึกอบรม จากบริษัท เอสซีลอร์ ลูซอตติกาโฮลเซล (ประเทศไทย) จํากัด, คุณแอนเดอลีน หยาง หัวหน้าฝ่ายการแพทย์และวิชาชีพจาก EssilorLuxottica เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาหลี และญี่ปุ่น และคุณศุภชัย อาชีวระงับโรค ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอสซีลอร์ลูซอตติกาโฮลเซล (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนวัตกรรมล่าสุดของ Essilor® Stellest® ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี Highly Aspherical Lenslet Target (H.A.L.T.) ที่ช่วยลดอัตราการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยงานนี้ยังได้รับเกียรติจากน้องสายลมและ น้องก้อนเมฆจากเพจ “เรไรรายวัน” มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การใช้เลนส์ Stellest® ด้วย

จากสถิติพบว่า ภาวะสายตาสั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรกว่า 50% ของโลก จะมีภาวะสายตาสั้นโดยเฉพาะในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราภาวะสายตาสั้นสูงถึง 80–90% สำหรับประเทศไทย แนวโน้มการเกิดสายตาสั้นในเด็กก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน

คุณศุภชัย อาชีวระงับโรค ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอสซีลอร์ลูซอตติกา โฮลเซล (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “EssilorLuxottica มีวิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีเลนส์ เพื่อปกป้องและส่งเสริมสุขภาพดวงตาที่ดี ภารกิจของเราคือการนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาการมองเห็นของผู้คนทั่วโลก และลดความเสี่ยงของภาวะสายตาสั้นในเด็ก เราเชื่อมั่นว่าการจัดการภาวะสายตาสั้นตั้งแต่วัยเยาว์เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพดวงตาที่ยั่งยืนในอนาคต การจัดงานครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยยกระดับการมองเห็นในระดับโลก พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะสายตาสั้นของเด็ก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว”

การศึกษานี้เป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่ม ควบคุม และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นในปี 2018
ที่โรงพยาบาลตาแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์เหวินโจว ประเทศจีน กลุ่มเด็กที่เข้าร่วมการศึกษามีอายุระหว่าง 8-13 ปีเพื่อประเมินประสิทธิภาพในระยะยาว การศึกษานี้ได้รับการขยายระยะเวลา จากเดิม 2 ปี เป็น 3 ปี และต่อเนื่องจนถึงปีที่ 4 และ 5 โดยข้อมูลจากการศึกษาระบุว่าเลนส์ Essilor® Stellest® สามารถชะลอการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น
ได้เฉลี่ย 1.75D และชะลอการเพิ่มขึ้นของกระบอกตาได้เฉลี่ย 0.72 มม. ตลอดระยะเวลา 5 ปีสำหรับกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ถูกคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงประสิทธิภาพของเลนส์ในการชะลอภาวะสายตาสั้นในเด็กในปีที่ 5

ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการชะลอภาวะสายตาสั้นและการยืดตัวของกระบอกตายังคงมีอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีอายุมากขึ้น (จนถึง 18 ปี) โดยเด็กที่เข้าร่วมการศึกษาจนครบปีที่ 5 มีอายุระหว่าง 13-18 ปีและมีแผนจะศึกษาต่อเนื่องอีก 2 ปีเพื่อประเมินประสิทธิภาพของเลนส์ในการควบคุมสายตาสั้นในระยะเวลา 7 ปี

ผลกระทบของภาวะสายตาสั้นต่อเด็กที่ไม่ควรมองข้ามภาวะสายตาสั้นที่ไม่ได้รับการแก้ไข อาจทำให้ภาวะสายตาสั้นรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้และสุขภาพจิตของเด็ก การมองเห็นที่ไม่ชัดอาจนำไปสู่การแยกตัวทางสังคมและปัญหาทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือความหงุดหงิด

พญ.เตือนใจ วงศ์วรเศรษฐ์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอนแทคเลนส์และวัดสายตา ร้าน Vora Visions เน้นย้ำถึงข้อกังวลที่เพิ่มขึ้นว่า “ยิ่งเด็กเริ่มมีภาวะสายตาสั้นเร็วเท่าไร ภาวะสายตาสั้นก็จะมีแนวโน้มเพิ่มเร็วขึ้น เด็กที่มีภาวะสายตาสั้นตั้งแต่อายุน้อยจึงมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนาเป็นภาวะสายตาสั้นระดับสูง (High Myopia) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางตาหลายประการ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาหลุดลอก จอประสาทตาเสื่อม และภาวะตาบอด ภาวะสายตาสั้นยังสามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและสุขภาพจิตของเด็ก การมองเห็นที่พร่ามัวอาจเป็นอุปสรรคต่อผลการเรียนและลดความมั่นใจของเด็ก ซึ่งนำไปสู่ความวิตกกังวลและภาวะการเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ”

นพ. วิทวัส ทรัพย์ธนากร จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านจักษุวิทยาเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 1 เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โดยกล่าวว่า “ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจพบและป้องกันภาวะสายตาสั้นตั้งแต่ระยะแรก เนื่องจากภาวะสายตาสั้นสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วไปสู่ภาวะสายตาสั้นขั้นรุนแรง การยืดตัวของแกนกระบอกตา (Axial elongation) ถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของความรุนแรงของภาวะสายตาสั้น กลยุทธ์ในการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ การใช้ยาหยอดตาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอการเพิ่มค่าสายตาสั้น และการใช้แว่นสายตาควบคุมสายตาสั้นที่มีเทคโนโลยี Highly Aspherical Lenslet Target (H.A.L.T.) ซึ่งจากผลการศึกษาทางคลินิกพบว่า เด็กที่สวมใส่แว่นสายตาควบคุมสายตาสั้นมีอัตราการพัฒนาของภาวะสายตาสั้นช้ากว่าเด็กที่ใช้แว่นสายตาเลนส์ชั้นเดียวมาตรฐานโดยเฉลี่ยถึงสองเท่า”

นพ. ซุน เฉิน-ซิน ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้การวัดความยาวแกนกระบอกตาร่วมกับค่ากำลังสายตา (Diopter levels) ในการประเมินประสิทธิผลของการรักษา โดยกล่าวว่า “การยืดตัวของแกนกระบอกตาเป็นสาเหตุหลักของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับสายตาสั้น การชะลอการยืดตัวของแกนกระบอกตาเป็นเป้าหมายหลักในการจัดการภาวะสายตาสั้น เนื่องจากการลดอัตราการยืดตัวของกระบอกตามีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางสายตาในอนาคต และช่วยป้องกันโรคร้ายแรงในระยะยาว”

Essilor® Stellest®เลนส์ที่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิก

แอนเดอลีน หยาง หัวหน้าฝ่ายการแพทย์และวิชาชีพจาก EssilorLuxottica เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาหลี และญี่ปุ่น ได้นำเสนอผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับเลนส์ Essilor® Stellest® “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงผลการศึกษาระยะเวลา 5 ปีล่าสุดของเลนส์ Essilor® Stellest® เนื่องจากข้อมูลทางคลินิกระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะอย่างต่อเนื่องของเลนส์ในการชะลอภาวะสายตาสั้นในเด็ก เราทราบดีว่าทุก ๆ Diopter มีความสำคัญ เราตั้งตารอที่จะนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับภาวะสายตาสั้น เพื่อพาทุกคนเข้าใกล้การปกป้องการมองเห็นของเด็ก ๆ อีกขั้นหนึ่ง”

เลนส์ Essilor® Stellest® ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกว่าสามารถชะลอการเพิ่มค่าสายตาสั้นโดยเฉลี่ย 67% และชะลอการเพิ่มขึ้นของกระบอกตาได้เฉลี่ย 60% เมื่อเทียบกับเลนส์สายตาชั้นเดียว หากสวมใส่วันละ12 ชั่วโมงทุกวันเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน เมื่อพิจารณาผลลัพธ์ในระยะ 5 ปีพบว่า เด็กที่ใส่เลนส์ Stellest® มีค่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเพียงครึ่งหนึ่งของเด็กที่ใช้เลนส์สายตาทั่วไป” นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการปกป้องสายตาของบุตรหลาน