กระแส T-Pop ยังคงมาแรงในปี 2025 โดย สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า ตลาดเพลงท้องถิ่นในอาเซียนกำลังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลัก 3 ข้อด้วยกัน ได้แก่
- เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดต้นทุนการผลิตและจำหน่ายเพลงได้กว้างขึ้น
- การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคระดับรายได้ปานกลางที่มีศักยภาพในการจับจ่ายสูงขึ้น
- การใช้โซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ช่วยผลักดันให้เพลงท้องถิ่นเป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลจาก Luminate ที่วิเคราะห์ว่า ตลาดเพลงทั้งในอินโดนีเซีย และไทย มีสัดส่วนการตรีมมิ่งเพลงท้องถิ่นสูงขึ้น สวนทางกับการฟังเพลงสหรัฐอเมริกา และ K-Pop ที่มียอดสตรีมมิ่งลดลง (ดูตารางด้านล่างประกอบ)
ยกตัวอย่าง ตลาดเพลงอินโดนีเซีย ปี 2024 กับ ปี 2021 พบอินไซด์น่าสนใจ ดังนี้
- ตลาดเพลงท้องถิ่นของอินโดนีเซีย มีสัดส่วน 35% (เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2021)
- เพลงสหรัฐอเมริกา เหลือ 26% (ลดลง 5% จากปี 2021)
- เพลง K-Pop เหลือ 8% (ลดลง 4% จากปี 2021)
ในประเทศไทยก็มีแนวโน้มแบบเดียวกัน โดยกลุ่มศิลปิน T-Pop อาทิ 4EVE และ Proxie ซึ่งมีสไตล์การร้องและเต้นคล้ายคลึงกับไอดอลเกาหลี (K-pop) ได้จัดคอนเสิร์ตทั่วประเทศ แฟนเพลงรายหนึ่งแชร์ว่า “ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขา”
ศิลปินไทยจำนวนมากยังแบ่งปันเรื่องราวชีวิตประจำวันผ่านโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ นักแสดงบางคน เช่น Jeff Satur และ พีพี กฤษฏ์ ก็หันมาทำงานเพลงและมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น
นอกจากนี้ เพลงฮิตจากประเทศหนึ่งยังสามารถแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นอย่างรวดเร็ว จากการวิเคราะห์เพลงฮิตในไทยและอินโดนีเซีย พบว่า เพลงเหล่านี้มักได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆ ทั่วเอเชีย และในบางประเทศเกิดใหม่ เช่น ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แม้จะยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในสหรัฐฯ และยุโรป
เพลงไทยและอินโดนีเซียยังได้รับการตอบรับอย่างดีในประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ภาษาคล้ายคลึงกัน หรือมีการรับชมรายการโทรทัศน์ชุดเดียวกัน
ตลาดดนตรีในเอเชียโดยรวมยังมีศักยภาพสูง โดย PwC คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะเติบโตประมาณ 20% ภายในระยะเวลา 5 ปี คาดว่าปี 2028 และจะมีมูลค่าสูงถึง 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อเศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงขยายตัว การบริโภคที่เพิ่มขึ้นก็จะยิ่งผลักดันความต้องการด้านดนตรีมากขึ้น รายได้ประชาชาติต่อหัวของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นถึง 5.5 เท่าในช่วง 20 ปีจนถึงปี 2023 มาอยู่ที่ 4,810 ดอลลาร์ ขณะที่ไทยเพิ่มขึ้น 3.3 เท่า มาอยู่ที่ 7,200 ดอลลาร์ ซึ่งรายได้ต่อหัวของทั้งสองประเทศนี้สูงกว่าระดับ 4,516 ดอลลาร์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ตามนิยามของธนาคารโลก
และนี่คือยุคเฟื่องฟูของดนตรีป๊อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น




