ทายาทรุ่น 2 แห่งอาณาจักรสหฟาร์ม กับความท้าทายในวันที่ขาดเสาหลัก ‘ดร.ปัญญา โชติเทวัญ’

‘สหฟาร์ม’ คือหนึ่งในผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าธุรกิจระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งมี ‘ดร.ปัญญา โชติเทวัญ’ เป็นผู้ก่อตั้ง รวมถึงเป็นเสาหลักในสร้างการเติบโต และพาให้พ้นวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง

 

ย้อนกลับไปในปี 2512 สหฟาร์มได้ถือกำเนิดขึ้นจากดร.ปัญญา อดีตนายแพทย์ทหารเรือที่ขณะนั้นทำงานอยู่กระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันโรคได้เลี้ยงไก่ 500 ตัวที่คนอื่นคัดทิ้งมาเลี้ยง

 

จากนั้นได้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสหฟาร์มย่านอโศก (ปิดตัวไปแล้ว) เพื่อขายผลิตภัณฑ์จากไก่ที่ตัวเองเลี้ยง กระทั่งอยู่มาวันนึงมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นมาแนะนำให้ทำธุรกิจส่งออกเพราะไก่ของสหฟาร์มมีคุณภาพดีมาก ทำให้ดร.ปัญญา ตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจส่งออกไก่ไปขายยังต่างประเทศ

 

ประเดิมที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปประเทศอื่น ๆ รวมแล้วปัจจุบันมีการส่งออกไปในกว่า 30 ประเทศ อาทิ เกาหลี จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และอีกหลายประเทศในแถบยุโรป ฯลฯ ติดอันดับหนึ่งในผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของไทยมีรายได้หลักหมื่นล้านบาท

 

แต่มาถึงวันนี้สหฟาร์มได้ขาดเสาหลักอย่าง ดร.ปัญญาไป หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาท่านเสียชีวิตไปในวัย 93 ปี จึงน่าสนใจว่าอาณาจักรหมื่นล้านแห่งนี้จะเดินหน้าต่ออย่างไร?

 

“น้ำผึ้งมีความเชื่อว่า ลูกหลานโชติเทวัญเป็นคนเก่ง แล้วมีคุณแม่ (ดร.มนูญศรี) ที่ตอนนี้มานั่งตำแหน่งประธานกรรมการแทนคุณพ่อก็เป็นผู้หญิงเก่งและคุณพ่อยกให้เป็นศิษย์เอกของท่าน บวกกับมีทีมกุนซือหลายคนที่เป็นผู้บริหารอยู่กับเรามานาน 30-40 ปี จึงเชื่อว่า สหฟาร์มจะเดินทางได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็พร้อมสู้ไปกับทุกสถานการณ์เหมือนที่เคยผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง”

 

‘น้ำผึ้ง-ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ’ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด หนึ่งในทายาทรุ่น 2 และลูกไม้ใต้ต้นของ ดร.ปัญญา ตอบด้วยความมั่นใจถึงอนาคตของอาณาจักรแห่งนี้หลังจากผู้ก่อตั้งไม่อยู่แล้ว

สหฟาร์มในยุครอยต่อของการเปลี่ยนผ่านจะเป็นอย่างไร

 

ตอนนี้คุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งยังบริหารดูภาพรวม วางวิสัยทัศน์ต่าง ๆ แล้วให้รุ่นลูกเป็นผู้ลงมือทำ แต่จริง ๆ การส่งไม้ต่อทางธุรกิจได้เกิดขึ้นเมื่อ ปี 2565 เป็นช่วงที่สหฟาร์มออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยคุณพ่อให้ลูกทั้งหมดเข้ามาทำงานที่สหฟาร์ม

 

สำหรับตัวน้ำผึ้งเองซึมซับและคลุกคลีการทำงานของคุณพ่อตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อพาไปทำงานด้วย วันหยุดก็มานอนเฝ้าแม่ที่ออฟฟิศ แต่ที่เข้ามาทำงานที่สหฟาร์มแบบจริงจังก็เมื่อกว่า 20 ปีก่อนหน้านี้ คือพอเรียนจบก็มาเลย โดยดูแลงานด้านบัญชีการเงิน เป็นเลขานุการของประธานกรรมการ และดูแลในส่วนของการตลาดต่างประเทศ

 

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณพ่อให้วิชามาแบบเต็มที่ ไม่มีกั๊กเลย ไม่มีวิชาไหนเด็ดสุด สิ่งที่เด็ดสุดคือ การนำความรู้เหล่านั้นมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร หยิบมาใช้ได้อย่างไรมากกว่า น้ำผึ้งคุยกับคุณพ่อเยอะมาก ตอนนี้ก็คุยกับคุณแม่มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะดูดซับวิชามาแล้ว ต้องให้กำลังใจท่านเพราะตอนนี้คุณแม่ก็อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว

 

หน้าที่ของเราคือ ทำอย่างไรให้อยู่อย่างมีความสุขที่สุด เพราะสหฟาร์มเป็นบริษัทที่ใหญ่มีพนักงานกว่า 20,000 คน ใครก็ตามที่แบกภาระตรงนี้ มันหนักโดยไม่ต้องทำอะไรเลย หน้าที่ของเราการเป็นลูกกตัญญูจะทำอย่างไรที่จะแบ่งเบาภาระของเขาให้มากที่สุด

default

โจทย์และภารกิจที่ประธานกรรมการคนใหม่มอบหมาย

 

หลัก ๆ คือ การนำพาสหฟาร์มสู่ความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ตอนนี้ธุรกิจเราจะออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว แต่ยังต้องชำระหนี้ไปจนถึงปี 2570 ซึ่งเป็นโจทย์ทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจ และด้วยตอนนี้ Value มีมูลค่าธุรกิจหลักหมื่นล้านบาท การเดินสู่เป้าหมายเป็นไปได้แน่นอน

 

ทิศทางของเราจะเติบโตอย่างมั่นคงวางแผนจะโตปีละ 10% เพราะหนึ่งในพันธกิจสำคัญ คือ ชำระหนี้ที่เราต้องทำให้ได้และผิดแผนไม่ได้ ดังนั้น จะเร่งโตไม่ได้ เนื่องจากการเติบโตต้องมีการลงทุน ถือเป็นการเพิ่มหนี้

 

อย่างแผนในปีนี้มีทั้งการขยายตลาด ซึ่งดีเทลข้างในไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการเพิ่มแบรนด์ใหม่ ยังคงไม่เห็นเพราะจะทำภายใต้แบรนด์สหฟาร์มมีการทำรีเทลมากขึ้น เพื่อขยายตลาดในประเทศจากเมื่อก่อนจะเน้นส่งออก 100%

 

เหตุผลของการจะทำรีเทลมากขึ้น เพราะตอนไปออกงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 มีคนเรียกร้องสินค้าสหฟาร์ม แต่ไม่รู้จะหาซื้อที่ไหนนอกจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่สำนักงานใหญ่ ทำให้เห็นโอกาส ซึ่งสัดส่วนของรายได้จะเปลี่ยนไป จากปัจจุบันรายได้ในประเทศ 30% ส่งออก 70%

 

ส่วนแบรนด์พอลดีย์ (Pauldy) ที่น้ำผึ้งสร้างขึ้นมาช่วงโควิดเพื่อต่อยอดจากสหฟาร์มในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไป ปีนี้อาจมีการแตกไลน์สินค้าพร้อมรับประทาน หรือ Ready to eat ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในปัจจุบัน หรืออาจจะมีการทำ Co-Branding เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผน แต่เห็นในปีนี้

 

ความท้าทายในฐานะ Gen 2 ที่จะต้องเข้ามาดูแลสหฟาร์ม

 

สำหรับน้ำผึ้งคือการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เนื่องจากส่วนตัวมองว่า เราไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ฉะนั้นเราต้องมีทีมเวิร์ก ตอนนี้พี่ชายกับน้องชายของน้ำผึ้งเข้ามาดูแลสหฟาร์มด้วย คือ พี่ก้อง (ดร.ก้องเทวัญ โชติเทวัญ) ดูในตำแหน่งประธานสายโรงงานแปรรูปการผลิต และโรงงานอาหารสำเร็จรูป

 

ส่วนน้องชาย (สิรวิชญ์ โชติเทวัญ) ดูแลในตำแหน่งรองประธานสายกิจการต่างประเทศ และยังมีผู้บริหารซึ่งเสมือนขุนพลของเราที่เข้ามาทำงาน 30-40 ปี มีพนักงานที่เป็นขุมกำลังทำงานเป็นทีมเดียวกัน มี mindset เดียวกัน เพื่อพาองค์กรเดินหน้าสู่การเติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

 

แล้วส่วนตัวน้ำผึ้งเอง เป็นคนมุ่งมั่นจะทำอะไร จะต้องทำอันไหนจนสำเร็จ เพราะคุณพ่อของน้ำผึ้งจะสอนเสมอว่า ชีวิตเราจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และการทำธุรกิจเสมือนกับการทำสงคราม ดังนั้นทุกคนในองค์กรที่เหมือนกับกองทัพ จำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้เพื่อชัยชนะ

สิ่งที่ดร.ปัญญาสอนและจดจำเป็นพิเศษ

 

เป็นเรื่องของ mind set ที่เป็นปรัชญาของเขา คือ เวลาเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้คิดว่า มันคือโอกาส ที่เราจะได้ใช้ความคิด สติปัญญา ความสามารถ ต่อสู้ให้ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ และจะเป็นวิชาสำหรับเรา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร น้ำผึ้งจะหาโอกาสทุกครั้งเสมอ อย่างช่วงโควิดที่แจ้งเกิดแบรนด์พอลดีย์ขึ้นมา

 

อีกเรื่อง Positive Thinking มีอะไรให้คิดบวกเข้าไว้ คุณพ่อจะสอนเสมอว่า ถ้าเราคิดว่า เราสำเร็จ เราจะหาร้อยแปดเหตุผล พยายามหาวิธีทุกอย่างมาทำให้เราสำเร็จ แต่เมื่อไรที่เราคิดว่า ทำไม่ได้ เราก็จะหาเหตุผลต่าง ๆ นานามา บอกว่า ทำไม่ได้ ซึ่งการมี Negative Thinking จะทำให้เราไม่มีวันสำเร็จได้เลย

 

ที่สำคัญ ต้องลงมือทำ แล้วหากทำไม่สำเร็จ เราต้องพยายามคิดเปลี่ยนแผนเพื่อให้ทำจนสำเร็จให้ได้ การปรับตัวเร็วก็เป็นสิ่งจำเป็น การพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ และการตัดสินใจสำคัญมากเช่นกัน หลายคนอาจตัดสินใจไม่ได้จะทำอย่างไร พอตัดสินใจไม่ได้ ทุกอย่างจะช้าไม่ทันการ