เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของแบรนด์น้ำแร่ระดับโลกอย่าง “เปอริเอ้” (Perrier) ที่กำลังเสี่ยงสูญเสียสถานะ “น้ำแร่ธรรมชาติ” หรือ Mineral Water ไป ด้วยข้อหาว่า “น้ำแร่ธรรมชาติ” ของ Perrier นั้นอาจไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 หน่วยงานฝรั่งเศสได้ออกคำสั่งให้ต้นสังกัด Perrier อย่างเนสท์เล่ (Nestlé Waters) ยุติการใช้ระบบไมโครฟิลเตอร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตในโรงงานที่แวร์แชซ (Vergèze) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำแร่ Perrier ที่มีชื่อเสียง โดยทางการให้เวลาเพียง 2 เดือนในการรื้อถอนระบบดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียกว่า “น้ำแร่ธรรมชาติ” ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ประเด็นสำคัญอยู่ที่กฎหมายของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่าน้ำแร่ต้องบรรจุขวดที่แหล่งกำเนิดโดยมีการปรับปรุงน้อยที่สุด และการกรองบางวิธีอาจได้รับอนุญาตเพื่อกำจัดสารที่ไม่เสถียร แต่ไมโครฟิลเตอร์ที่ Nestlé ใช้กับ Perrier ล้วนไม่ผ่านเกณฑ์
ที่น่าสนใจก็คือ คำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการเปิดเผยว่าบริษัทเคยใช้วิธีการปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ห้ามใช้ เช่น การ กรองด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตและการกรองด้วยคาร์บอน ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เทคนิคไมโครฟิลเตอร์ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในตอนนี้
โคม่าหนัก? แชมเปญน้ำแร่ 100 ปี
แบรนด์ Perrier มีจุดเริ่มต้นย้อนกลับไปไกลถึงปี 1863 เมื่อ เซอร์จอห์น ฮาร์มสเวิร์ธ (Sir John Harmsworth) สุภาพบุรุษชาวอังกฤษ ได้เดินทางไปศึกษาภาษาฝรั่งเศส และได้พบกับ ดร.เปอริเอ้ (Dr. Perrier) ผู้อำนวยการทางการแพทย์ของสปาใกล้กับแหล่งน้ำแร่เลส์ บุยยองส์ (Les Bouillens) เซอร์จอห์นประทับใจในรสชาติซ่าเป็นเอกลักษณ์ของน้ำแร่จากแหล่งนี้มาก จนตัดสินใจซื้อแหล่งน้ำแร่นั้น และตั้งชื่อแบรนด์ว่า “Perrier” เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.เปอริเอ้
ในช่วงแรก Perrier สร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในอังกฤษ ด้วยรสชาติที่ซ่าสดชื่นโดดเด่น จนได้รับฉายาว่าเป็น “แชมเปญแห่งน้ำดื่ม” (Champagne of table waters) จากนั้น Perrier ก็ค่อยๆ ขยายตลาดไปทั่วโลก จนเป็นที่รู้จักในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก

เวลาผ่านไป Perrier ก็มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของ จนกระทั่งในปี 1992 แบรนด์นี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Perrier Vittel Group SA ซึ่งต่อมาถูกซื้อกิจการโดยยักษ์ใหญ่อย่าง Nestlé โดยเคล็ดลับความซ่าของ Perrier ยังคงไม่ธรรมดา และจากข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Perrier เองระบุว่ามีกระบวนการที่เป็นเอกลักษณ์ คือการดักจับก๊าซจากภูเขาไฟ แล้วนำมาใช้ในการอัดก๊าซลงในน้ำแร่โดยตรง จนเป็นที่มาของความซ่าแบบธรรมชาติ
ปัจจุบัน Perrier ยังคงเป็นที่รู้จักในฐานะน้ำแร่ธรรมชาติอัดก๊าซ ที่มีแร่ธาตุเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ปราศจากน้ำตาลและแคลอรี่ ทำให้เป็นอีกทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนรักสุขภาพที่ชอบความซ่าแต่ไม่อยากได้แคลอรี่เพิ่ม แต่โลกธุรกิจไม่มีอะไรหยุดนิ่ง และแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Perrier อาจกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะมีข่าวว่า Nestlé กำลังพิจารณาขายธุรกิจน้ำดื่มบรรจุขวดของตัวเอง ซึ่งรวมถึง Perrier และอีกแบรนด์ดังอย่าง ซานเปลเลกรีโน (S.Pellegrino) ด้วย เบื้องต้นมีการประเมินกันว่ามูลค่าดีลนี้อาจสูงถึงกว่า 5 พันล้านยูโร หรือราว 2 แสนล้านบาท โดย Nestlé ได้แต่งตั้งรอธส์ไชลด์ (Rothschild) บริษัทวาณิชธนกิจชื่อดังระดับโลก มาเป็นที่ปรึกษาในการขายครั้งนี้
ทำไม Nestlé จึงอยากขาย Perrier? รายงานข่าวระบุว่า Nestlé ต้องการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะหันไปโฟกัสกับ 30 แบรนด์หลักที่ทำกำไรได้ดีกว่า เช่น Kit-Kat, Nescafé, NAN หรือ Maggi เรียกว่าเป็นการ lean องค์กรให้สอดรับกับทิศทางตลาดมากขึ้น
ฝ่าดราม่ากรองน้ำแร่ในฝรั่งเศส
วันนี้หลายบริษัทส่งสัญญาณสนใจซื้อ Perrier แม้ว่าเทคนิคการกรองน้ำของ Perrier จะถูกสั่งให้ถอดออกจากโรงงานที่ Vergèze และ Vosges ในฝรั่งเศส และ Nestlé เองก็ยอมรับว่ากระบวนการบางอย่างอาจไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ โดยยินยอมปรับปรุงให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดสวนทางกับคำยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ Perrier ปลอดภัย
กลุ่มที่สนใจจะมาเป็นเจ้าของใหม่ Perrier มีชื่อของ One Rock Partners ซึ่งเคยซื้อธุรกิจน้ำดื่มในอเมริกา เหนือของ Nestlé อย่าง Poland Springs ไปแล้วเมื่อปี 2021 ในราคา 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงกลุ่มทุน Private Equity อื่นๆ ที่มีข่าวว่าให้ความสนใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจน้ำดื่มบรรจุขวดในนาทีนี้ถูกมองว่ามีความท้าทายอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ และยอดขายที่อาจจะไม่ได้เติบโตหวือหวาเหมือนช่วงก่อนโควิด-19

สำหรับอนาคตของ Perrier แม้คำแถลงของ Nestlé จะระบุว่าพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งและกำลังมองหาทางแก้ไขทางเทคนิคเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานกฎหมาย แต่ด้วยความที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์เผชิญปัญหา เพราะปีที่แล้ว Nestlé ต้องจ่ายค่าปรับถึง 2 ล้านยูโร (ประมาณ 2.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีจากการใช้วิธีกรองที่ผิดกฎหมายก่อนหน้านี้
และปัญหาไม่ได้มีแค่นี้ ยักษ์ใหญ่อย่าง Nestlé เคยต้องทำลายน้ำแร่ Perrier กว่า 2 ล้านขวดในปี 2024 เนื่องจากพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียที่เชื่อมโยงกับฝนตกหนัก และยังมีรายงานรั่วไหลจากหน่วยงานด้านสุขภาพในแคว้น อ็อกซีตานี (Occitanie) ที่ระบุถึงภัยจากไวรัสที่อาจมาจากตาน้ำธรรมชาติเอง
สำหรับกรณีกฏหมายใหม่
ช่วงเวลาของการบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ถูกมองว่ามีความหมายอย่างยิ่ง เพราะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตของ Nestlé Waters เพื่อดำเนินการแหล่งน้ำบาดาลใน Vergèze ต่อไป ขณะเดียวกัน การตรวจสอบทางการเมืองก็เข้มข้นขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะมีรายงานจากวุฒิสภาในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ ซึ่งกำลังตรวจสอบว่าหน่วยงานของรัฐเคยอนุญาตให้ Nestlé หลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือไม่ แม้ว่าประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จะปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกก็ตาม
บทสรุปของเรื่องนี้ คือ Perrier เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกแบรนด์ในเรื่องของความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค เมื่อแบรนด์สร้างตัวตนบนคุณค่าหลักอย่าง “ความเป็นธรรมชาติ” การรักษาคำมั่นสัญญานั้นต้องเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ซึ่งไม่ว่าเส้นทางของ Perrier ในการกลับสู่สถานะ “น้ำแร่ธรรมชาติ” จะราบรื่นหรือไม่ แต่นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ในยุคที่ผู้บริโภคเรียกร้องความจริงใจและความโปร่งใส แม้แต่แบรนด์ระดับโลกก็ไม่สามารถหลบซ่อนความจริงได้
ที่มา : Perrier, Swissinfo, Publicist24, Lemonde, Reuters, Axios