เบื้องหลัง ‘จอลลี่แบร์ น้ำปลาหวาน’ สินค้าที่ ‘จอลลี่แบร์’ บอกว่า แหวกแนวสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา 52 ปี

ด้วยความแปลกใหม่แบบไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ตอนนี้ ‘จอลลี่แบร์ น้ำปลาหวาน’ ได้กลายเป็นสินค้าไวรัลที่คนกำลังตามหา โดย ‘พลากร เชาวน์ประดิษฐ์’ ทายาทรุ่น 3 จอลลี่แบร์ บอกกับ Positioning ว่า สินค้าดังตัวนี้ถือเป็นการ collab แบบข้ามสายพันธุ์ และแหวกแนวที่สุดของจอลลี่แบร์นับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งมานาน 52 ปี

 

สำหรับเบื้องลึกเบื้องหลังของสินค้าตัวนี้ พลากรเล่าให้ฟังว่า ปกติจะมีการคุยอัปเดตเทรนด์กับทาง ‘ซีพีออลล์’ ผู้บริหาร 7-Eleven สำหรับนำมาเป็นไอเดียออกโปรดักต์ใหม่ ๆ  ซึ่งจะมีการพูดคุยกันทุกไตรมาส และตอนนั้นมะม่วงน้ำปลาหวานเป็นสินค้าขายดีมากใน 7-Eleven ทางซีพีออลล์จึงแนะนำว่า ทำไมไม่พัฒนารสชาตินี้ออกมา และนั่นเป็นไอเดียเริ่มต้นของจอลลี่แบร์ น้ำปลาหวาน

 

เมื่อเห็นเทรนด์แล้ว พลากรได้เรียกทีม R&D มาร่วมระดมสมอง โดยเริ่มแรกคิดจะเอารสชาติของน้ำปลาหวานไปใส่ในตัวเยลลี่เลยดีหรือไม่ แต่ทางทีม R&D บอกว่า รสชาติจะชนกันเกินไป ทำให้เมื่อกินแล้วจะไม่ได้รสชาติที่ชัดเจนเหมือนกินมะม่วงน้ำปลาหวานจริง ๆ

 

ดังนั้น จึงคิดนำ Mango Bear จอลลี่แบร์รสมะม่วง สินค้าที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมาต่อยอด ด้วยการเพิ่มความเปรี้ยวให้เพิ่มขึ้นอีก 50% แล้วนำไปจิ้มกับน้ำปลาหวาน ปรากฏว่า ได้รสชาติที่เข้ากันและมีคาแรกเตอร์พิเศษ

 

“เรามีความมั่นใจในตัวสินค้าของเรามาก เพราะกินแล้วมีความหนึบ มีรสชาติเหมือนกินมะม่วงดิบจริง ๆ และพอดีมีน้ำปลาหวานหลายแบรนด์วางขายใน 7-Eleven หนึ่งในนั่นคือ แบรนด์ตะไคร้ พอตกผนึกความคิดได้จึงเกิดเป็นความร่วมมือกัน ช่วยกันออกแบบและพัฒนาสินค้าร่วมกันว่า จะออกมาในรูปแบบไหน สุดท้ายก็ออกมาเป็นโปรดักต์อย่างที่เห็น”

 

หลังจากใช้เวลาพัฒนาเป็นปี ในที่สุดจอลลี่แบร์ น้ำปลาหวานได้วางขายใน 7-Eleven เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งทายาทรุ่น 3 จอลลี่แบร์บอกว่า ได้รับการตอบรับ ‘เกินคาดหมาย’ จากเดิมตั้งเป้ายอดขายไว้ 300,000-400,000 ชิ้น ผ่านไปหนึ่งเดือนมียอดขายเกินเป้าไปกว่าเท่าตัว ทำให้ตอนนี้ต้องวางแผนที่จะผลิตเพิ่ม เพื่อตอบรับกระแสดีมานต์ที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สินค้าตัวนี้ไม่ใช่สินค้าไวรัลตัวแรกของจอลลี่แบร์ โดยก่อนหน้านี้หลายปีเคยเกิดขึ้นแล้วกับ ‘จอลลี่แบร์ จัมโบ้’ ขนาด 150 กรัม จนเกิดกระแสไล่ล่า ‘หาหมีให้ครบสี’ และไม่ได้เกิดเป็นไวรัลเฉพาะในไทย ยังดังไปถึงประเทศเกาหลี จนทำให้มีบริษัทมาติดต่อซื้อสินค้าตัวนี้ไปบรรจุในแพ็กเกจของตัวเองเพื่อนำไปจำหน่ายที่เกาหลี

 

และด้วยความดังที่เกิดขึ้น มาถึงตอนนี้ถูกต่อยอดมาเป็นโปรดักต์ใหม่ ‘มินิ จอลลี่แบร์ จัมโบ้’ ขนาด 35 กรัม

 

แต่สำหรับจอลลี่แบร์ น้ำปลาหวาน มีความแตกต่างและแหวกแนวที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา 52 ปี เพราะโปรดักต์ตัวอื่นยังมีการอ้างอิงจอลลี่แบร์เดิม คือ เป็นเยลลี่รูปหมีหลากหลายสี ทว่าจอลลี่แบร์ น้ำปลาหวาน มีความข้ามสายพันธุ์ระหว่างของหวานกับของคาว นอกจากนี้ยังเป็นการขยายกลุ่มลูกค้า จากกลุ่มเด็ก มาสู่คนกลุ่ม Gen X และ Gen Y

 

ในอนาคตเรายังจะได้เห็นการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ของจอลลี่แบร์ออกมาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 5-6 ตัว โดยหลักการคือ ต้องตอบสนองเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น เทรนด์รักสุขภาพ หรือ Health Conscious ซึ่งจะได้เห็นจอลลี่แบร์ น้ำตาลน้อย เป็นต้น

 

เพราะพลากรย้ำว่า แม้แบรนด์จะเป็นตำนานระดับ Iconic อยู่ในตลาดมานานแค่ไหน แต่หากไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และสภาพการแข่งขัน แบรนด์จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว