หลังจากที่ ‘เอไอเอส’ (AIS) ในฐานะ ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัลที่ทวีความรุนแรงในไทย ได้คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’ ทางเอไอเอสก็เดินหน้า สร้างเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง สู่งานเสวนา Zero Scam Thailand: รวมพลังหยุดภัยไซเบอร์ สู่สังคมปลอดภัย เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันปกป้องประชาชน และตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง
ต้องรู้เท่าทัน เพราะมิจฉาชีพมาทุกรูปแบบ
พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้เล่าให้ฟังในเวทีเสวนาว่า ปัจจุบัน แสกมเมอร์ทั่วโลกทำรายได้มากกว่าค้ายาเสพติด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชญากรจึงพยายามเข้ามาหลอกลวง อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมจะเกิดได้เกิดจาก 3 ข้อ ได้แก่
- มิจฉาชีพ
- เหยื่อ
- โอกาส
ขณะที่ มิจฉาชีพมักจะใช้หลักจิตวิทยาในการล่อลวง ได้แก่ รัก โลภ ตกใจ เชื่อใจ เช่น หลอกให้รักแล้วขอเงิน หรือชวนลงทุน หรืออ้างว่าเป็นตำรวจหรือหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างความกลัว หรือเชื่อใจ ดังนั้น อย่าตกใจ ให้ตั้งสติ ต้องเอ๊ะตลอด และหมั่นดูข่าว และหาข้อมูลความรู้เพื่อ ปิดโอกาส ไม่ให้มิจฉาชีพเกิดอาชญากรรม เช่น ถ้ามีหน่วยงานรัฐโทรมา ให้คิดเลยว่าเป็นมิจฉาชีพ เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐโทรหาแน่นอน หรือเช็กง่าย ๆ โดยการตัดสายเบอร์แปลกแล้วโทรกลับ ถ้าปลายสายรับไม่ได้แปลว่ามิจฉาชีพ
“ต้องยอมรับว่าการจับกุมมันทำยาก เพราะฐานเขาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นองค์กรอาชญากรรม ทำเป็นกระบวนการ มีหลายหน้าที่หลายตำแหน่ง ทำให้การจับทำได้ยาก ดังนั้น มีภูมิคุ้มกันตัวเองดีที่สุด”
ช่วยแจ้งเบาะแส ตัดไฟแต่ต้นลม
เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) หรือ ศปอท. กล่าวเสริมว่า ประชาชนสามารถ เป็นหูเป็นตา ได้ด้วยการแจ้งเบาะแส เช่น การ แจ้งเบอร์มิจฉาชีพ หรือผู้ที่เป็นเจ้าของห้องพัก ห้องเช่า หากเจอพฤติกรรมผู้เช่นแปลก ๆ เช่น ใช้ไฟฟ้าเยอะผิดปกติ ทั้งที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ อาจแสดงว่ามิจฉาชีพใช้ห้องเป็นฐานปฏิบัติการณ์
เอกพงษ์ ย้ำว่า การช่วยแจ้งเบาะแสนั้นสำคัญมาก เพราะจะได้นำข้อมูลที่ได้ไปเชื่อมโยง เช่น เบอร์โทรศัพท์กับบัญชีธนาคาร เพื่อจะได้กำจัดภัยคุกคาม ตัดมือเท้าของคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด โดยปัจจุบัน ศปอท. ถือเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการณ์จัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยฐานข้อมูลจากทุกหน่วยงานจะถูกเชื่อมโยงไว้ที่นี่ที่เดียว ทำให้การทำงานเป็น Single Command
“ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มิจฉาชีพใช้ แต่ที่สำคัญคือ คนไทยที่ไปร่วมมือ เพราะได้ค่าตอบแทนเยอะ ดังนั้น ถ้าเห็นเพื่อนบ้านไปทำงานต่างประเทศ หรือร่ำรวยผิดปกติ ก็แจ้งเบาะแสได้”
ความท้าทาย คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนตื่นรู้
ด้าน นาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ยอมรับว่า ความท้าทายคือ ทำยังไงให้ประชาชนตื่นรู้ เพราะการแจ้งความถือเป็นปราการด่านสุดท้าย ซึ่งทางสกมช. พยายามจะให้ความรู้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ผ่านการร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงจะอัพเดทคอนเทนต์ให้ทันกับมิจฉาชีพ เพราะมิจฉาชีพมักมีวิธีการใหม่ ๆ มาเสมอ
“ปีนี้เราก็มีการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และกสทช. เพื่อให้เข้าถึงผู้คนได้เยอะที่สุด แต่ที่สำคัญประชาชนก็ต้องบอกเล่า คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน ๆ เพื่อให้ตระหนักรู้ด้วย”
เช่นเดียวกับ วิสิฐศักดิ์ เจริญไชย Corporate Affairs Manager – AIS กล่าวว่า นอกเหนือจากที่เอไอเอส เพิ่มความเข้มงวดในการซื้อซิม เพิ่มสายด่วน 1185 แล้ว ทาง AIS ก็ร่วมกับทุกภาคส่วนในการตัดสัญญาณตามตะเข็บชายแดนแล้ว รวมถึงสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับประชาชน เช่น หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ การจัดทำ Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น
“AIS ไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่ เรียนรู้ ร่วมแรง และ เร่งมือ เพื่อพาไทยสู่ Zero Scam”
จะเห็นว่าความมั่นคงไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนคนไทย ดังนั้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่อนาคตดิจิทัลอย่างมั่นคง