ม.ล.ชโยทิต กฤดากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2547 ว่ายังคงมุ่งเน้นการพัฒนาบทวิเคราะห์ ให้มีความหลากหลายและรักษาตำแหน่งครองใจนักลงทุนทั้งสถาบันไทยและต่างประเทศต่อไป พร้อมสร้างรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2547 นี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับบทบาทของฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยจะมีการปรับและ
เสริมทีมให้มีนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรรม เพื่อให้เป็นศูนย์ข้อมูลหลัก ที่สามารถตอบสนอง
ความต้องการของทั้งฝ่ายวาณิชธนกิจและฝ่ายค้าหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มบทวิเคราะห์ โดยเน้นกลุ่ม
เป้าหมายไปยังฐานผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาว โดยจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการกระตุ้นกลุ่มผู้ฝากเงินให้หันมาสนใจลงทุนในตลาดทุนมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของการออมเงิน
“การดำเนินธุรกิจของบริษัทมีข้อได้เปรียบจากการที่บริษัทมีความพร้อมในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นทีมงานที่มีความ เชี่ยวชาญในธุรกิจตลาดทุน ความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารไทยพาณิชย์ ในแผนธุรกิจทุกด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับงานวิเคราะห์และได้พัฒนาทีมให้มี
ความแข็งแกร่งตลอดมาโดยปัจจุบันมีทีมนักวิเคราะห์คุณภาพที่มีอายุประสบการณ์เฉลี่ย 8 ปีขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 8 คน แบ่งเป็นนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุม 107 หุ้น หรือประมาณ 70% ของตลาด
และเป็นที่ยอมรับของ นักลงทุนทั้งสถาบันไทยและต่างประเทศ” ม.ล.ชโยทิต กล่าว
สำหรับธุรกิจด้านวาณิชธนกิจก็พร้อมที่จะรุกอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2547บริษัทได้เป็นที่ปรึกษาการเงินและ
เป็นผู้นำธุรกิจในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งภาครัฐและเอกชนคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมประมาณ 500,000 ล้านบาท อาทิ บริษัทเบียร์ช้าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และบริษัททศท. เป็นต้น
ด้านนายกฤษณ์ เกษมศานติ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลจากการเปิดสาขา SCBS Trade Zone ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา 8 สาขา ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านบาท โดยขยับอันดับบริษัท
หลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด จากอันดับที่ 19 เป็น 9 ภายใน 1 ปี และมีแผนจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 3% เป็น 4% ซึ่งธุรกิจนี้ถือเป็นรายได้หลักของบริษัท
ม.ล.ชโยทิต กล่าวถึงผลดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมกว่า 700 ล้านบาท ประมาณ 80% มาจากธุรกิจค้าหลักทรัพย์ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้รวมในปี 2547 มากกว่า 1,000 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ในช่วงขาขึ้นและนักลงทุนยังสนใจลงทุน เนื่องจากระดับราคาหุ้นปัจจุบันไม่สูงหากเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้