นับตั้งแต่การมาของ ChatGPT เชื่อว่าการทำงานของ หลายคน และ หลายองค์กร ได้เปลี่ยนไป และนั่นทำให้ มนุษย์ เริ่มกังวลว่าจะถูก แทนที่ ดังนั้น ในวันที่องค์กรจำเป็นต้องนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพ ทาง ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ก็ได้เชิญ 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ SCBX, SCGC และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแชร์แนวคิดการนำ AI มาใช้ในองค์กรโดยที่ พนักงานไม่กังวลว่าจะถูกแทนที่
องค์กรในไทย ใช้ AI สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Microsoft ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจ Work Trend Index 2025 พบว่า 75% ของผู้นำองค์กรในไทยจะต้องการเห็นองค์กรตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 51% แต่ 88% ของพนักงานในไทยกลับมองว่าการงานทุกวันนี้ ทำเต็มที่แล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 80%
ดังนั้น AI จึงเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงาน โดย 68% ขององค์กรในไทย ได้เริ่มนำ AI มาใช้ช่วยในการทำงานของกระบวนการต่าง ๆ ให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ 46% นอกจากนี้ 93% ยังระบุว่า จะ ใช้ AI ทำงานมากขึ้น จากค่าเฉลี่ยโลก 78% และ 90% มองว่า Digital Agent จะเข้ามาช่วยการทำงานภายในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ

รู้จัก Frontier Firm Mind set
โดยทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้
- ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
- ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
- บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เริ่มใช้ AI มาแก้ปัญหาง่าย ๆ ก่อน
สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ให้คำแนะนำสำหรับองค์กรที่จะเริ่มนำ AI มาใช้ว่า อันดับแรก ผู้นำองค์กรต้องอยากไป AI จากนั้นให้เริ่มจาก หาปัญหาที่อยากแก้ โดยให้เริ่มจากปัญหาง่าย ๆ
“ผมเชื่อว่าผู้นำทุกองค์กรพร้อมจะเอาด้วย ขอแค่มันเห็นผลลัพธ์ ดังนั้น เริ่มจากแก้ปัญหาง่าย ๆ เพื่อเป็น Proof Of Concept ว่ามันได้ประโยชน์อย่างไร”
เช่นเดียวกับ ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ที่มองว่า จุดเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ คือต้องนำมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ต้องเริ่มจากอะไรยาก ๆ
“COVID-19 ทำให้เราต้องไปดิจิทัล ดังนั้น เราต้องทรานส์ฟอร์ม ซึ่งโจทย์ของเราตอนนั้นคือ ทำให้ข้าราชการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ เราเลยเริ่มจากนำ Co-Pilot มาช่วยจดบันทึกการประชุม จากเดิมที่ใช้อนาล็อก”

สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้พนักงานรู้สึกเป็นนาย AI
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้พนักงานเปิดใจใช้งาน AI ทาง ดร.ณรัณ มองว่า ต้องทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน ไม่ใช่ให้เขารู้สึกเสียกำลังใจว่าเขาถูกแทนที่ได้ ดังนั้น จะต้องมีคนเข้าไปร่วมตัดสินใจตลอดในลูปการทำงาน ต้องให้คนมาเห็นสิ่งที่ AI นำเสนอให้เร็วที่สุดที่ทำได้ เพื่อให้เขารู้สึกว่า เป็นเจ้าของ
“AI ฉลาดขึ้นตลอด แต่เราต้องมี checkpoint control เพื่อตรวจเช็กความถูกต้อง ดังนั้น ผมยังเชื่อว่าไม่ว่ายังไง เอไอก็ไม่มีทางแทนที่คนได้ ”
เช่นเดียวกับ ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ที่มองว่า องค์กรต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่า เป็นบอสของ AI โดยเริ่มจากกางกระบวนการทำงานของพนักงานในองค์กร เพื่อดูว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมพนักงานตรงไหน
“เราต้องดูว่าพนักงานเราจะใช้ AI ได้อย่างไร เช่น พนักงานเราจะรู้พฤติกรรมลูกค้าอยู่แล้ว เราก็นำเทคโนโลยีเข้าไปเสริมเขา”
ด้าน สัญญา จินดาประเสริฐ เสริมว่า ต้องเริ่มจากให้ AI ไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวพนักงานก่อน เช่น ช่วยงานรูทีนที่ทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เขาเข้าใจก่อนว่า ประโยชน์คืออะไร และถ้า AI เข้ามา พนักงานไม่ควรทำงานเหมือนเดิม องค์กรต้องปรับปรุงกระบวนการใหม่

สกิลฝึกกันได้ แต่ต้องมีไมด์เซ็ทเปิดรับ
สัญญา ยกตัวอย่างการฝึกพนักงานของ SCGC ว่า ภายในองค์กร พนักงาน ต้องเรียน ต้องสอบ และต้องลงมือทำการใช้ AI จริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลลัพธ์ทั้งด้านไมด์เซ็ทพนักงานที่ใช้ AI ทำงานดีข้ึน เร็วขึ้น และได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้น จะเห็นว่า คนคือหลักในการขับเคลื่อน ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องคน และความสนใจ
“เราไม่ได้คาดหวังว่าคนอายุ 40-50 ปีจะใช้ AI แต่กลายเป็นว่าเขาใช้เป็น และนำมาปรับใช้ได้อย่างดี”
ลลินทิพย์ ทิ้งท้ายว่า การที่องค์กรจะไป AI ได้ พนักงานต้องมี ไมด์เซ็ทเปิดรับเทคโนโลยี ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ไมด์เซ็ทใหม่ที่ต้องพร้อมปรับตัว ไม่จำเป็นต้องเก่งไอที หรือเป็นเดเวลอปเปอร์ เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีทุกบริษัทใกล้กัน ทุกคนซื้อมาใช้ได้ แต่ ข้อมูลและคนที่พร้อมใช้ จะทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง
“ตอนนี้เรื่องเทคโนโลยีมันไม่จำเป็นต้องมีสกิล เพราะใช้ AI ทำได้ ดังนั้น ต้องมีไมด์เซ็ทที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีที่จะใช้เครื่องมือพวกนี้ได้ ดังนั้น เราไม่ได้บอกว่าต้องการคนที่รู้เรื่อง AI แต่รับคนที่พร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลงในทุกช่วงเวลา เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว”
