SMEs เสี่ยงปิดกิจการต่อเนื่อง เฉลี่ยปิดตัวเพิ่มปีละ 7%

ธุรกิจ SMEs ของไทย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1 ใน 3 หรือประมาณ 35% ของ GDP หรือประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท กำลังเผชิญหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะผลของสงครามการค้ารอบใหม่ และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า  ท่ามกลางตลาดในประเทศที่เติบโตต่ำ

ส่งผลให้ ยังเสี่ยงขาดทุนหรือปิดตัวต่อ จากที่ก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากปัญหาโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ทำให้มีการปิดตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ต่อปี (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ดังนี้

  • ปี 2564 ปิดกิจการ 19,237 ราย
  • ปี 2565 ปิดกิจการ 21,765 ราย
  • ปี 2566 ปิดกิจการ 23,280 ราย
  • ปี 2567 ปิดกิจการ 23,551 ราย

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของ SMEs โดย 26% ของธุรกิจรายเล็กและรายย่อยขาดทุนต่อเนื่องในช่วง 3 ปี (พ.ศ. 2563 – 2566) มีจำนวนสูงถึง 106,595 ราย

ส่วนกลุ่มที่มีทั้งกำไรและขาดทุนสลับกันไป มีจำนวน 143,097 ราย และกลุ่มที่ทำกำไรตลอด 3 ปี มีจำนวน 164,019 ราย

ธุรกิจ SMEs ที่ยังคงยากลำบากในการแข่งขัน และเสี่ยงขาดทุน/ปิดกิจการต่อ แบ่งออกเป็น 2 ภาคหลัก ได้แก่

ภาคการค้าและบริการ
  • ก่อสร้าง
  • ร้านอาหารและเครื่องดื่ม
  • ขนส่งสินค้า/คน
  • ร้านค้าปลีกอินเทอร์เน็ต
  • ร้านค้าปลีกทั่วไป
ภาคการผลิต
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก
  • ผลิตภัณฑ์พลาสติก
  • อิเล็กทรอนิกส์
  • เครื่องจักรและส่วนประกอบ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในอนาคต ธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มขาดทุนหรือปิดกิจการต่อเนื่องในแทบทุกอุตสาหกรรม

โดย ภาคการผลิต ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ และต้องเผชิญการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

ส่วน ภาคการค้าและบริการ รับแรงกดดันจากกำลังซื้อในประเทศลดลง การแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ และการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ