งานเข้าแบรนด์ดังสหรัฐฯ! หลังเกิดกระแส ‘แบน’ ในอินเดีย เพื่อตอบโต้มาตรการ ‘ภาษีทรัมป์’

BEIJING, CHINA - FEBRUARY 01: A Chinese employee wears a protective mask as he sits in the showroom of an Apple Store after it closed for the day on February 1, 2020 in a shopping district in Beijing, China. Apple announced it was closing all of its stores in China until February 9th due to the outbreak of the coronavirus in Wuhan, The number of cases of a deadly new coronavirus rose to almost 12000 in mainland China Saturday, days after the World Health Organization (WHO) declared the outbreak a global public health emergency. China continued to lock down the city of Wuhan in an effort to contain the spread of the pneumonia-like disease which medicals experts have confirmed can be passed from human to human. In an unprecedented move, Chinese authorities have put travel restrictions on the city which is the epicentre of the virus and neighbouring municipalities affecting tens of millions of people. The number of those who have died from the virus in China climbed to over 250 on Saturday, mostly in Hubei province, and cases have been reported in other countries including the United States, Canada, Australia, Japan, South Korea, India, the United Kingdom, Germany, France and several others. The World Health Organization has warned all governments to be on alert and screening has been stepped up at airports around the world. (Photo by Kevin Frayer/Getty Images)
หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียที่ 50% เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งนั่นได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลนิวเดลีกับวอชิงตัน ล่าสุด งานกำลังเข้าบรรดา บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ที่กำลังเผชิญกระแสการ คว่ำบาตร ในอินเดีย หลังจากผู้นำธุรกิจและผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ปลุกกระแสต่อต้านสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ถือเป็นตลาดสำคัญของแบรนด์อเมริกัน ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น และมองสินค้านำเข้าเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้ปัจจุบัน อินเดียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของหลาย ๆ แบรนด์จากสหรัฐฯ

อาทิ WhatsApp ที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด หรืออย่าง Domino’s Pizza ก็มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลกในประเทศนี้ และทุกครั้งที่ Apple Store หรือ Starbucks เปิดใหม่ก็มักมีคนต่อคิวรอแน่นเสมอ

แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ากระทบยอดขายโดยตรง แต่กระแสในโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง เริ่มหันมาสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นและเลิกใช้สินค้าสหรัฐฯ

มานิช เชาดารี ผู้ร่วมก่อตั้ง Wow Skin Science ของอินเดีย โพสต์วิดีโอใน LinkedIn เรียกร้องให้สนับสนุนเกษตรกรและสตาร์ทอัพ พร้อมผลักดันให้ Made in India กลายเป็นกระแสระดับโลก เหมือนกับที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ทำให้สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ด้านความงามเป็นที่นิยมทั่วโลก

“เราต่อคิวซื้อสินค้าที่มาจากอีกซีกโลก ใช้จ่ายอย่างภาคภูมิใจกับแบรนด์ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้คนในประเทศสนใจ”

ราห์ม ชาสทรี ซีอีโอ DriveU โพสต์ใน LinkedIn ว่า อินเดียควรมี Twitter, Google, YouTube, WhatsApp, Facebook เวอร์ชันของตัวเองเหมือนที่จีนมี

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทค้าปลีกอินเดียจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติในประเทศได้ แต่การขยายสู่ตลาดโลก ยังเป็นความท้าทาย ขณะที่บริษัทไอทีรายใหญ่ของอินเดีย เช่น TCS และ Infosys กลับประสบความสำเร็จในตลาดโลก ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ลูกค้าทั่วโลก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวในงานที่เมืองบังกาลอร์ เรียกร้องให้ชาวอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีอินเดียผลิตสินค้าขายไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของอินเดียก่อน

กลุ่มสวาเดสี จักรัน มันช์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคภราติยะชนตะของโมดี ได้มีการจัดชุมนุมเล็ก ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชาชนแบนบแบรนด์สหรัฐฯ โดยได้จัดทำ ลิสต์รายการแบรนด์สินค้าอินเดีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน และน้ำอัดลม ให้ผู้คนเลือกใช้แทนสินค้านำเข้า พร้อมเผยว่าบนโซเชียลมีเดีย กลุ่มได้ทำกราฟิก คว่ำบาตรเชนอาหารต่างชาติ ที่มีโลโก้แมคโดนัลด์และร้านอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์

อย่างไรก็ตาม แม้กระแสต้านสหรัฐฯ ยังคงอยู่ แต่เทสลาก็เปิดโชว์รูมแห่งที่สองในกรุงนิวเดลีเมื่อวันจันทร์ โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์อินเดียและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ร่วมงานเปิด

Source