สรุปคำชี้แจงจาก ‘World’ ที่เปิดให้คนไทย ‘สแกนม่านตา’ แลกคริปโตฯ เป็นใคร? ปลอดภัยไหม? ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?

หลังจากที่ กองบัญชาการสอบสวนกลาง หรือ CIB และ กรมการปกครอง เตือนภัยเสี่ยงข้อมูลหลุด จากกรณีที่มีบริษัทชักชวนประชาชนคนไทยให้ สแกนม่านตา เพื่อยืนยันตัวตน แลก      เหรียญคริปโตฯ ซึ่งบริษัท Tools For Humanity (TFH)  เจ้าของโปรเจกต์ World ที่ดำเนินการดังกล่าว ก็ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ โดย Positioning จะมาสรุปให้ ดังนี้

โปรเจกต์ World คืออะไรกันแน่?

World เป็นโปรเจกต์จากบริษัท Tools for Humanity (TFH) ซึ่งก่อตั้งโดย อเล็กซ์ บลาเนีย (Alex Blania) และ แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ที่หลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้ก่อตั้ง OpenAI เจ้าของ ChatGPT แพลตฟอร์ม AI Chatbot ที่หลายคนน่าจะใช้งานกันอยู่

ซึ่งโปรเจกต์ World เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่า ในวันที่ AI และ บอท กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วอะไรจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า คนที่คุยเป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่ AI หรือบัตรคอนเสิร์ตที่ถูกซื้อ ซื้อโดยมนุษย์ ไม่ใช่บอท เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โปรเจกต์ World จึงตั้งใจพัฒนาระบบ ยืนยันความเป็นมนุษย์ (ไม่ใช่ยืนยันตัวตน) โดยใช้ ข้อมูลม่านตา ในการยืนยัน เนื่องจากเป็นวิธีที่ดีที่สุด

พูดง่าย ๆ ก็คือ โปรเจกต์ World คือ แคปช่า (CAPTCHA – Completely Automated Public Turing Computer and Humans Apart) หรือระบบที่ใช้ในการทดสอบผู้ใช้บริการว่าเป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่โปรแกรม    ที่หลายคนน่าจะเคยต้องกดภาพที่มีไฟจราจรเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ ซึ่งระบบนี้ต่อไปในอนาคตจะเชื่อถือไม่ได้ เพราะ AI ฉลาดพอที่จะตอบ

ปลอดภัยจริงไหม?

ภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย และ ฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ Managing Director จาก World Foundation ยืนยันว่า ระบบ World มีความปลอดภัย โดยอธิบายหลักการทำงานดังนี้

  1. ระบบนี้ไม่ต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้อง เปิดเผยชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ดังนั้น ไม่มีการจ้างบุคคลที่ 3 มาเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
  1. ภาพต้นฉบับจะถูกลบทันที ยืนยันไม่มีการนำไปซื้อขายหรือจัดเก็บ
  1. ภาพม่านตาที่สแกนจะถูกแปลงเป็น Iris Code ซึ่งเป็นชุดตัวเลขกว่า 10,000 หลัก โดยรหัสนี้จะถูกเข้ารหัสและเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งาน แม้แต่ทาง World ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ และผู้ใช้สามารถลบได้หากต้องการ (แต่ส่วนรหัส IrisCode ที่ถูกกระจายศูนย์เก็บไว้ในระบบ aMPC ยังอยู่ แต่ไม่สามารถนำมาประกอบรวมกันหรือระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
  1. รหัส Iris Code จะไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นภาพได้ เพราะใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า one-way cryptographic แม้จะใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็ตาม
  1. Iris Code จะเข้ารหัสแบบ aMPC (Anonymous Multi-Party Computation) ที่จะกระจายตัวเลขหมื่นหลักนั้นไปเก็บที่ต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์
  1. มีการจัดทำ Auditor Report โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เช่น Theori และ Trail of Bits ตรวจสอบระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทั้งหมดถูก เปิดเผยแบบโอเพนซอร์สบน GitHub ให้ทุกคนทั่วโลกเข้ามาตรวจสอบได้ เพื่อยืนยันว่าระบบปลอดภัยและไม่มี ช่องโหว่แอบแฝง

ยืนยันทำถูกต้องตามกฎหมายไทย แม้บางหน่วยงานออกเตือน

ภัคพล ยืนยันว่า มีการปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่อง PDPA, หน่วยงานกำกับดูแลหลักคือ PDPC เนื่องจากเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล

แต่ที่มีหน่วยงานท้องถิ่นบางหน่วยงานออกมาเตือนประชาชน เป็นเพราะอาจเกิดจากความเข้าใจผิด หรืออาจจะยังไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน

แจกโทเคนจริง แต่ไม่แจกเงินสด

ฟาเบียน ยอมรับว่า มีการแจกเหรียญโทเคนที่มีชื่อว่า Worldcoin Token ให้จริง เพื่อ จูงใจ ให้คนมาใช้ โดยโทเคนสามารถจะถือครองไว้เผื่อมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต หรือใช้จ่ายใน Mini Apps รวมถึงแปลงเป็นเงินบาทผ่าน Exchange ที่ถูกกฎหมายได้ แต่ยืนยันว่า ไม่มีการแจกเงินสด ไม่มีการรับแลกเหรียญและแปลงเป็นเงินบาท

มีผู้ใช้ทั่วโลกไม่ใช่แค่ไทย

ปัจจุบัน บริษัทให้บริการในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่ไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ฮ่องกง, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก มีจำนวน 15-16 ล้านคนที่ยืนยันความเป็นมนุษย์แล้ว ส่วนในประเทศไทยมีผู้ใช้ราว 2 ล้านคน มีประมาณ 1 ล้านคนที่ยืนยันความเป็นมนุษย์

หารายได้จากแพลตฟอร์มที่ต้องการใช้งาน ไม่ใช่คนทั่วไป

ระบบของ World จะไม่มีการเก็บเงินจากผู้ใช้งาน เพราะเป้าหมายของ World คือ สร้างระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ หรือก็คือ จะมาแทนที่ CAPTCHA ดังนั้น รายได้ของบริษัทจะมาจาก แพลตฟอร์มที่ต้องการเชื่อมต่อระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ เช่น Tinder ที่หลายคนบ่นว่าเจอบอท เจอมิจฉาชีพ ระบบนี้ก็จะใช้ในการยืนยันตัวตน เพื่อเพิ่มความปลอดภัย หรืออย่าง Eventpop ก็จะช่วยเข้ามาแก้ปัญหาบอท ให้คนจริง ๆ ที่ยืนยันความเป็นมนุษย์ได้ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตก่อน เป็นต้น

– ย้ำว่าเป็นเจ้าแรกในโลก ไม่มีบริษัทอื่น

ฟาเบียน ย้ำว่า ในโลกนี้ยังไม่มีบริษัทอื่นที่ทำระบบยืนยันความเป็นมนุษย์โดยการสแกนม่านตา และไม่มีการจ้างบุคคลที่ 3 มาเก็บข้อมูลส่วนบุคคล

พร้อมย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็น ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ระบบยืนยันตัวตน และเป้าหมายของ World คือ ป้องกันมิจฉาชีพ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี Deepfake ในการปลอมแปลงใบหน้าและเสียง โดยไทยถูกหลอกจากมิจฉาชีพมากกว่า 168 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท ดังนั้น World ต้องการช่วยให้คนไทยปลอดภัยมากขึ้นในยุค AI