ต่อจากนี้ ‘ซีกัล’ ขอโต ‘นอกห้องครัว’ ขยายพอร์ตสู่สินค้าไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

จาก ‘ช้อนสเตนเลสหนึ่งคัน’ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์เครื่องครัว ‘ซีกัล’ (Seagull) หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘นกนางนวล’ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในตลาดมายาวนาน 55 ปี และกำลังก้าวสู่ความท้าทายบทใหม่กับทิศทางในอนาคตที่จากนี้จะขอโต ‘นอกห้องครัว’ ไม่จำกัดเฉพาะสินค้าเครื่องครัวอีกต่อไป

 

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ซีกัลเกิดขึ้นในปี 2514 มี ‘มานะ เรืองจรุงพงศ์’ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยเดิมทีใช้ชื่อแบรนด์ว่า นกนางนวล ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือเรื่อง ‘โจนาธาน ลิฟวิงสตัน’ บอกเล่าเรื่องราวของนกนางนวลที่มุ่งมั่นจะบินให้สูงและไกลกว่านกนางนวลตัวอื่น เพื่อมุ่งสู่ความอิสระ

 

โดยสินค้าตัวแรกที่เริ่มต้นผลิต ก็คือ ‘ช้อนสเตนเลส’ ก่อนจะขยายไปยังสินค้าเครื่องครัวอื่น ๆ อาทิ หม้อ กระทะ มีด หม้อก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ และในปี 2549 ได้รีแบรนด์มาเป็นซีกัล พร้อมเปลี่ยนโลโก้ใหม่เพื่อให้มีความเป็นสากลและทันสมัยมากขึ้น ซึ่งนอกจากวางจำหน่ายในไทยแล้ว ยังส่งออกไปแถบประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา และกัมพูชา เป็นต้น

 

มาถึงวันนี้แบรนด์ดังกล่าวเดินบนถนนสายธุรกิจมานาน 55 ปี และกำลังเดินหน้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหม่ เน้นสร้างการเติบโตนอกเหนือจาก ‘เครื่องครัว’ มาสู่ ‘สินค้าภายในบ้าน’ จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสินค้าคุณภาพ มีความสะดวกสบาย และดีไซน์ทันสมัย โดยประเดิมส่งแบรนด์ใหม่ Seagull Electric ลงแข่งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นเล็ก

 

“ตลาดเครื่องครัวมีแนวโน้มการเติบโตลดลง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป บวกกับภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เรามองหาการเติบโตในตลาดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและตอบเทรนด์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่กลุ่มลูกค้าหลักของเรา” ‘อรุณ เรืองจรุงพงศ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด เจ้าของแบรนด์ซีกัลเล่าถึงสาเหตุการเปิดแบรนด์ใหม่ในรอบ 55 ปี

 

 

 

 

ทำไมถึงเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กเป็นหมุดหมายแรก

 

เหตุผลที่เลือกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กเป็นหมุดหมายแรกกับในการสร้างการเติบโตภายใต้ทิศทางใหม่ นั่นเพราะว่า ตลาดดังกล่าวเป็นตลาดใหญ่มีมูลค่าระดับหลายหมื่นล้านบาท บวกกับผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ตลาดนี้มีการเติบโตน่าสนใจ ขณะที่ตลาดเครื่องครัวมีมูลค่าเพียงราว 5,000-6,000 ล้านบาท และการเติบโตลดลง

 

สำหรับจุดแข็งของ Seagull Electric ที่จะมาใช้แข่งขันในตลาดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ได้แก่

 

1.เรื่องคุณภาพและความเชื่อถือของแบรนด์ซีกัลที่มีมายาวนาน 55 ปี

2.ดีไซน์และฟังก์ชันใช้งานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนเมือง เพราะปัจจุบันเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านถูกมองเป็นสินค้าแฟชั่นและเป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งบ้าน

3.การบริการหลังการขาย และการรับประกัน ที่พร้อมดูแลลูกค้าตลอดการใช้งาน

 

“เราเห็นการทะลักเข้ามาของแบรนด์จีนในตลาดนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้บริโภคจะกังวลในเรื่องคุณภาพและการดูแลหลังการขาย หากสินค้ามีปัญหาจะไปซ่อมที่ไหน ซ่อมกับใคร เราจึงปิด pain point พวกนี้ และเราไม่กังวลกับการทะลักของแบรนด์จีน เพราะมั่นใจในคุณภาพของตัวเอง”

ไม่กระโดดลงแข่งสงครามราคา

 

ส่วนราคาของสินค้านั้น ด้วยการวางโพซิชั่นของแบรนด์จับกลุ่ม Premium Mass ทางอรุณบอกว่า จะไม่เน้น ‘ราคาถูก’ หรือทำสงครามราคา แต่จะตั้งราคาให้สามารถ ‘แข่งขันได้’ โดยจะแพงกว่าแบรนด์จีน 20% และถูกกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นอย่างน้อย 30-40%

 

ปัจจุบัน Seagull Electric มีสินค้าอยู่กว่า 40 ไอเท็ม และในปีหน้าจะเพิ่มอีก 30-40 ไอเทม

 

ส่วนเป้าหมายยอดขายซึ่งในปีนี้ที่ได้วางขายประมาณ 4 เดือน คาดหวังว่า เมื่อถึงสิ้นปี 2568 หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กจะมียอดขาย 50-60 ล้านบาท จากนั้นจะเพิ่มเป็น 200 ล้านบาทในปี 2569 และในปี 2571 ยอดขายจะอยู่ที่ 500 ล้านบาท

 

“การเปิดตัว Seagull Electric ถือเป็นความท้าทายและก้าวสำคัญในการสร้างจุดเปลี่ยนสำหรับแบรนด์ซีกัล เพราะเป็นครั้งแรกในการขยายพอร์ตโฟลิโอไปสู่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ตลาดที่เราไม่คุ้นเคย แต่ด้วยคุณภาพ และการดูแลหลังการขายทำให้เรามั่นใจว่า จะบรรลุเป้าหมายได้”

 

ขณะที่ ‘ตลาดเครื่องครัว’ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักก็ยังโฟกัสและให้ความสำคัญอยู่ ด้วยการออกสินค้าที่มีสีสันและดีไซน์ให้เลือกมากขึ้น ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่มองสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าแฟชั่นมากกว่าฟังก์ชั่นการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ออกกระทะที่มีหลากหลายสี, แก้ว Tumbler, แก้วเก็บความร้อน-ความเย็น ฯลฯ

 

รวมไปถึงพัฒนาสินค้าภายในบ้านภายใต้แบรนด์ใหม่ออกมามากขึ้น โดยนอกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กแล้ว ยังได้แตกแบรนด์ใหม่ในกลุ่มสินค้าถังขยะทั่วไป, ถังขยะแบบเซ็นเซอร์ และถังถูพื้นแบบปั่นออกมาวางจำหน่ายแล้ว

สำหรับผลประกอบการของบริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า 

 

ในปี 2565 ทำรายได้ไป 1,065 ล้านบาท กำไร 51.5 ล้านบาท 

ในปี 2566 ทำรายได้ไป 856.6 ล้านบาท กำไร 4.3 ล้านบาท 

ในปี 2567 ทำรายได้ไป 864 ล้านบาท กำไร 5.8 ล้านบาท