จากร้านอุปกรณ์ซ่อมและตกแต่งบ้าน ซึ่งเริ่มต้นจากตึกแถวเล็กๆ ในมาเลเซีย ตอนนี้ ‘MR. D.I.Y.’ (มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย.) มีสาขากว่า 5,000 แห่ง ใน 14 ประเทศ รวมถึงไทยที่กำลังจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะระดมทุน 5,600 ล้านบาท ถือเป็นการเสนอขายหุ้น IPO ใหญ่สุดในรอบ 3 ปี
อะไรที่ทำให้ MR. D.I.Y. ก้าวมาถึงจุดนี้ได้?
ย้อนกลับไปในปี 2548 MR. D.I.Y. ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจาก Tan Yu Yeh ชาวมาเลเซียที่ต้องการสร้างร้านที่รวบ รวมอุปกรณ์ สินค้าตกแต่ง และซ่อมแซมไว้ที่เดียวกัน ด้วยการเปิดสาขาแรกเป็นตึกแถวเล็ก ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยจุดเด่นของที่นี้ คือ สินค้ามีความหลากหลาย คุณภาพดี และราคาจับต้องได้ง่าย
ส่วนจุดเปลี่ยนที่ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อ Tan Yu Yeh ขยายร้านมาเปิดในศูนย์การ ค้า เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและกว้างขึ้น และได้เพิ่มสินค้าให้หลากหลายมากกว่า 16,000 รายการ ครอบคลุมทั้งหมวดฮาร์ดแวร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องใช้ในครัวเรือน-อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, อุปกรณ์ประดับยนต์, เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา, ของเล่น และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
ในปี 2559 หลังจากเติบโตในตลาดบ้านเกิด MR. D.I.Y. ก็ได้เริ่มบุกตลาดต่างประเทศ ด้วยการเปิดสาขาที่ไทย และบรูไน ก่อนจะขยายสาขาในอีกหลายประเทศเพิ่มเติม ตอนนี้ MR. D.I.Y. มีสาขารวมกว่า 5,000 แห่งใน 14 ประเทศ อาทิ ไทย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, อินเดีย, ตุรกี และ สเปน ฯลฯ

สำหรับในไทย MR. D.I.Y. ได้เปิดสาขาแรก ณ ซีคอน บางแค เมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 1,000 แห่ง กระจายครบใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ รายได้ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 16,200 ล้านบาท โต 28% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,800 ล้านบาท โตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
Key success ที่ทำให้ MR. D.I.Y. ในไทยโตได้อย่างที่เห็น ‘แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แชร์ให้ฟังว่า
- ‘เมอร์ชัลไดร์ซิ่ง’ ซึ่ง MR. D.I.Y. ให้ความสำคัญกับการนำเสนอสินค้าให้ตรงใจกับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ อย่างในไทยเองจะมีการเติมสินค้าใหม่เข้ามาในร้าน 500 รายการทุกเดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า และจะมีจัดอันดับสินค้า ‘ขายดี’ และ ‘ขายไม่ดี’ ที่มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล หากขายดี สินค้านั้นจะได้รับพื้นที่ขายดีที่สุด แต่หากอันไหนขายไม่ดี จะเอาออก
- ‘การนำเสนอสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ในราคาเหมาะสม’ โดยการจัดซื้อจะเป็น Global Procurement จัดซื้อล็อตใหญ่สำหรับสาขาทั้งหมดที่มีกว่า 5,000 แห่ง ใน 14 ประเทศ บวกกับการมี economy of scale ทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาถูกกว่าที่อื่น ตามสโลแกนของแบรนด์ นั่นคือ Always Low Price
- ‘การบริหารจัดการต้นทุน’ ทั้งเรื่องคลังสินค้า การกระจายสินค้า และมีระบบขนส่งของตัวเอง ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี
สำหรับแผนหลังจากระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.2568 ทาง MR. D.I.Y. มีแผนจะขยายคลังสินค้าเพิ่มอีก 2 แห่ง ซึ่งเป็นคลังสินค้าระบบอัตโนมัติ โดยจะเริ่มให้บริการบางส่วนในปี 2569 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2574 รองรับสาขาของ MR. D.I.Y. ได้ 3,000 แห่ง
นอกจากนี้ วางแผนขยายสาขาทั่วประเทศไทยด้วยการเพิ่มสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 500 สาขาภายในระยะเวลา 3 ปี (ตั้งแต่ 2568–2570) เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งทิศทางจะเน้นไปรูปแบบสแตนอะโลน เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและมากขึ้น
สำหรับประเด็นที่ว่า ทำไมถึงเลือกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไทย ทั้งๆ ที่ภาพรวมของตลาดฯและเศรษฐกิจในไทยดูไม่ดีนัก ทางแอนดี้บอกว่า ตลาดทุนในไทยมีความมั่นคงและน่าสนใจ บวกกับตั้งใจทำธุรกิจในไทยแบบระยะยาว อีกส่วนก็เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้มากขึ้นด้วย
“ภาพรวมการบริโภคในประเทศชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงโควิด แต่เราก็เติบโตมาได้ โดยสาขาที่เห็นในปัจจุบัน 50% เปิดในช่วงนั้น และ 99% ของร้านทั้งหมดที่มีก็กำไร โดยตอนนี้ MR. D.I.Y. ยังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นเติบโต ยังมีโอกาสอีกมากในการทำธุรกิจ ทำให้มั่นใจ”
นอกจากเตรียมจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในไทยแล้ว ก่อนหน้านี้ทาง MR. D.I.Y. ได้มีจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียและอินโดนีเซีย




