5 สัญญาณเสี่ยงคนไทย เมื่อประเทศก้าวสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’

สิ่งที่น่ากังวลและเป็นความท้าทายกับการก้าวสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (Super Aged Society) ของประเทศ ไทยในอีก 10 ข้างหน้า ไม่ใช่ ‘จำนวนของผู้สูงอายุ’ แต่เป็นการที่ชีวิตของคนทุกวัยกำลัง ‘ไร้อิสระ’ จากผล กระทบของวิกฤตประชากรที่จะเกิดขึ้น

 

บนเวทีเสวนา ‘ภารกิจคิดเผื่อ X Life Fest 40+’ ในงาน ‘Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า’ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ในอีกไม่เกิน 10 ปี ไทยกำลังเข้าสู่ Super Aged Society โดยในปี 2567 ข้อมูลจากสำนักสถิติแห่งชาติ (สสช.) ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 60 ขึ้นไป เพิ่มขึ้นคิดเป็น 20% ของประชากร หรือสูงถึง 1 ใน 5 ของประเทศ

 

นอกจากนี้ ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์มีเด็กเกิดใหม่น้อยที่สุดในรอบ 70 ปี ชัดเจนในปี 2567 ที่บ้านเรามีเด็กเกิดใหม่น้อยกว่า 500,000 คน ซึ่งเป็นการเร่งให้สังคมเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดไวมากขึ้น ขณะเดียวกัน สัดส่วนแรงงานก็ลดน้อยลงอย่างเห็นชัดเจน

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความท้าทายและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวทุกวัย เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังพึ่งพารายได้จากผู้อื่นเป็นหลัก เมื่อรวมกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสุขภาพที่เพิ่มขึ้นด้วยแล้ว ทำให้การที่ชีวิตของคนทุกวัยกำลังไร้อิสระ โดยเฉพาะ ‘เดอะแบก’ ที่ต้องดูแลทั้งผู้สูงอายุในครอบครัวและดูแลครอบครัวของตัวเอง 

 

5 ข้อที่ทำให้ชีวิตของคนไทยไร้อิสระ

 

1.ด้านการเงิน (Wealth+) : ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปี 2568 พบว่า กว่า 95% ของครัวเรือนไทยยังมีหนี้ และหนี้เฉลี่ย 740,596 บาท/ครัวเรือน สูงสุดรอบ 4 ปี ขณะที่ข้อมูลจาก สสช. ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการวางแผนการเก็บออมในยามชราและเมื่อต้องเกษียณของคนไทย พบว่า 

-มีเพียง 13.2% ที่คิด/วางแผน และทำได้ตามแผน

-21.7% คิด/วางแผน แต่ยังไม่เริ่มทำ

-45.3% คิด/วางแผน แต่ทำไม่ได้ตามแผนหรือที่ตั้งใจ 

-19.8% ยังไม่คิด ยังไม่วางแผน 

 

ส่วนรายได้หลักของผู้สูงอายุ โดย 35.7% มาจากลูกหลาน รองลงมา 33.9% มาจากการทำงาน โดยผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานมีอยู่ 5.26 ล้านคน หรือ 37.2%

 

สะท้อนให้เห็นถึงเหตุจำเป็นที่อาจทำให้ผู้สูงอายุหยุดทำงานไม่ได้ รวมถึงในวันที่ทำงานไม่ไหว หรือ ไม่มีตลาดแรงงานรองรับ หนี้สินทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูก็จะตกมาถึงลูกหลานวัยทำงาน

2.ด้านสุขภาพ (Health+) : ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคเผยไทยมี “ผู้ป่วยความดัน” ราว 14 ล้านคน แต่ขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 7 ล้านคน อีกทั้งคนไทยป่วยเบาหวานราว 6.5 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 10 และจำนวนผู้ไม่รู้สถานะอีกจำนวนมาก ซึ่งโรคในหมวด NCDs เหล่านี้เป็นฐานความเสี่ยงใหญ่ของวัย 40+ ที่จะลากยาวถึงวัยสูงอายุ ทั้งต้นทุนรักษาค่อนข้างสูงและทอนคุณภาพชีวิตครัวเรือน

 

3.ด้านจิตใจ (Mind+) : จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อย่างน้อย 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุเผชิญภาวะ social isolation ขณะที่สสช. ระบุจากผู้สูงอายุทั้งหมด 14 ล้านคน มี 12.9% ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้สูงวัยพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าแบบไม่รู้ตัว และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติภายในบ้าน หรือเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้ดูแล เพิ่มโอกาสในการเสียชีวิตสูงมากขึ้น

 

4.ด้านไลฟ์สไตล์ (Living+): จากข้อมูล สสช. มีผู้สูงอายุหกล้มที่บ้านสูงถึง 82.9% แบ่งเป็นบริเวณบ้าน 50.5% และภายในบ้าน 32.4% สอดคล้องข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ชี้ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ หกล้มทุกปี และต้องเข้าพักรับการรักษาในโรงพยาบาลกว่า 165,000 คน บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกสะโพกหักกว่า 40,000 รายต่อปี โดย 17% ของผู้ที่กระดูกสะโพกหัก จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย

 

5.ด้านเทคโนโลยี (Digital+) : ผู้สูงวัยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2564 เป็น 23.12% ในปี 2567 สาเหตุเกิดจากการขาดทักษะตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ และขาดการไตร่ตรองก่อนเชื่อหรือแชร์ ส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน กระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความมั่นคงในการใช้ชีวิต

นอกจากสะท้อนให้เห็นผลกระทบเมื่อไทยเข้าสู่ Super Aged Society เวทีเสวนาดังกล่าว ยังแนะนำเพื่อรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาของสังคมสูงวัย และทำให้คนทุกวัยมีชีวิตที่เป็นอิสระ โดยด้านการเงิน แนะนำให้วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด ปลดภาระหนี้สิน สร้างความมั่นคงระยะยาว

 

ด้านสุขภาพ แนะนำบาลานซ์สุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกิน การออกกำลังกาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทุกช่วงวัย, ด้านจิตใจ ให้สร้างสมดุลชีวิต ดูแลความสัมพันธ์ และความสุขที่ยั่งยืน, ด้านไลฟ์สไตล์ ให้ปรับไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัย เปิดมุมมองชีวิตใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และการเป็น Active citizen

 

สุดท้ายด้านเทคโนโลยี ให้พัฒนาตัวเองให้เท่าทันทันเทคโนโลย ใช้นวัตกรรมอย่างฉลาดและปลอดภัย