ช่วงนี้คงไม่มีใครไม่เคยเห็นชื่อ “โจ๊ก iScream” ศิลปินสายฮา ที่เพลงของเขากำลังกลายเป็นไวรัลทั่วโซเชียล ทั้งเนื้อหาหลุดโลก เสียงร้องเพราะติดหู และพลังคอนเทนต์ที่ทำให้คนแชร์กันกระหน่ำ
แต่เบื้องหลังความ “ตลกแต่ปัง” นี้ มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉียบคมซ่อนอยู่
มาดูกันว่า ทำไม “โจ๊ก iScream” ถึงกำลังกลายเป็นเคสศึกษาด้านการตลาดดิจิทัลที่น่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้
กลยุทธ์ “ความแตกต่างสุดโต่ง” ยืนหนึ่งในตลาด Blue Ocean
แทนที่จะลงแข่งในตลาดเพลงแนวเดิม ๆ “โจ๊ก iScream” เลือกเปิดเส้นทางของตัวเองในตลาด Blue Ocean พื้นที่ที่ยังไม่มีใครทำ
โดย “ฉีกทุกกรอบ” ของเพลงกระแสหลัก ทั้งชื่อเพลง เนื้อหา ไปจนถึงมุมมองการเล่าเรื่อง เช่น ซิงเกิลล่าสุด “Chicken Eats Elephant” (ไก่กินช้าง)
ที่มีเนื้อร้องอย่าง
“Mosquito eats the crocodile because the crocodile has no hand.”
(ยุงกินจระเข้ เพราะจระเข้ไม่มีมือ)
อาจฟังดูไร้สาระ แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของการสร้าง ความแตกต่างสุดโต่ง (Extreme Differentiation)
เพราะในตลาดที่ทุกคนพยายามจะ “เหมือนกัน” คนที่ “ไม่เหมือนใคร” จะโดดเด่นที่สุดเสมอ

จากมีมสู่เพลงไวรัล กลยุทธ์ “Meme-to-Music”
ก่อนจะมาเป็นนักร้อง โจ๊ก iScream โด่งดังในโลกออนไลน์จากคลิปตลกและมีมไวรัล อาทิ คาแรกเตอร์ที่พูดได้ทุกภาษา แต่ไม่อาจทราบความหมายได้ โดยคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นสุด คือ “ไบรอัน หนุ่มเกาหลี วัย 24 ปี”
เขาใช้จุดแข็งนี้ต่อยอดเป็นเพลง ด้วยการหยิบ “คำพูดมีม” ที่คนจดจำได้อยู่แล้ว มาพัฒนาเป็นเนื้อเพลงจริงจัง เช่น เพลงเปิดตัว “My name is Brian”
ผลลัพธ์คือเพลงทั้งตลก ติดหู และถูกแชร์ต่อในทุกแพลตฟอร์ม
เพราะเมื่อ “มีมที่คนรู้จัก” ถูกรีมิกซ์เป็น “เพลงที่คนร้องได้” มันคือสูตรสร้างไวรัลที่สมบูรณ์แบบในยุคโซเชียล
แถมยังถูกใจคนไทย สายชอบความพูดไปเรื่อย มีความเล่น ๆ แบบจริงจัง

ความจริงจังในความตลก ศิลปะแห่ง “Serious Absurdity”
แม้เพลงของโจ๊ก iScream จะฟังดูแปลกแหวกแนวไปบ้าง แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและพิถีพิถันในด้านดนตรี การโปรดิวซ์ และซาวด์ดีไซน์
ทุกเพลงถูกทำอย่างมืออาชีพจน “ตลก แต่เพลงก็เพราะ และติดหู” ฟังครั้งแรกอาจงง แต่พอรู้ตัวอีกทีเราก็ฮัมเพลงตามได้แล้ว
นี่คือศิลปะแห่ง “Serious Absurdity” ที่ทำให้ผลงานของเขาไม่ใช่แค่เพลงขำ ๆ แต่กลายเป็น “ไวรัลที่มีคุณภาพ” ที่ทั้งตลาดเพลง และนักการตลาดต้องจับตามอง

สรุปสั้น ๆ
“โจ๊ก iScream” ไม่ได้ดังเพราะโชคช่วย แต่เพราะเขาเข้าใจแก่นของ การตลาดยุคใหม่ ที่อยู่ระหว่าง “ความแตกต่าง” และ “ความเข้าใจวัฒนธรรมโซเชียล” อย่างลึกซึ้ง
เปรียบเสมือนศิลปินที่เปลี่ยนมีมให้เป็นเพลง และเปลี่ยนเสียงหัวเราะให้เป็นตัวตนทางดนตรีที่ยากที่ใครจะเลียนแบบได้ (เพราะทั้งวงการทำอยู่คนเดียว)
พร้อมกันนั้น ยังสะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านของ ตลาดเพลงยุคใหม่ให้ไวรัล ไม่จำเป็นต้องพึ่งโปรดักชันใหญ่อีกต่อไป
โจทย์ของศิลปินยุคนี้อาจเหลือเพียง “ทำเพลงให้ติดหู” “มีท่อนฮุคให้ฮิต” หรือ “โยงเข้ากระแสโซเชียล”
แค่ให้คนเอาไปใช้ใน TikTok หรือ IG Stories จนกลายเป็นไวรัล ก็ถือว่าชนะแล้ว…


