‘ทุนจีน’ กว้านซื้อที่ดิน “ชลบุรี-ระยอง” ผุดโรงงาน นิคมอุตฯ หนุนราคาที่ดินเพิ่ม 15% ต่อปี

ป้ายขายที่ดินระยอง ถูกนำมาปักป้ายโฆษณาตรงพัทยา ชลบุรี

ที่ผ่านมา EEC เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาสร้างฐานการผลิตในไทย

อ้างอิง BOI พบว่า ช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2568 ไทยได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนของชาวต่างชาติ จำนวน 1,063 โครงการ มูลค่า 629,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% (YoY) โดยนักลงทุนหลัก 3 สัญชาติแรก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน

อย่างไรก็ดี การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติครั้งนี้ ‘ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม’ แต่ได้ขยายสู่พื้นที่รอบนอกนิคมอุตฯ มากขึ้นอีกด้วย

สะท้อนจากการปักป้ายขายที่ดินเปล่า ให้เช่าที่ดินระยะยาว หรือกระทั่งการขายที่ดินพร้อมผู้เช่า ในชลบุรีและระยองเป็นภาษาจีนตามรายทางมากขึ้นจากเดิมพอสมควร

สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย

‘สุรเชษฐ กองชีพ’ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย เปิดเผย “Positioning” ว่า ตั้งแต่ช่วงหลังโควิด ปี 2565 เป็นต้นมา เริ่มเห็นภาพ กลุ่มทุนจีน เข้าซื้อที่ดินเปล่าใน EEC นอกโซนนิคมอุตฯ เพิ่มขึ้น

หากซื้อที่ดินแปลงเล็ก จะนำมาสร้างโรงงาน ส่วนที่ดินแปลงใหญ่จะทำนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งภายในอาจจะมีแค่โรงงาน หรือมีทั้งโรงงานและที่พักอาศัยก็ได้

นายหน้าอสังหาฯจีน โพสต์ขายที่ดินจังหวัดชลบุรี สำหรับทำโรงงาน

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่การซื้อที่ดินเปล่ามักเลือกในโซนผังที่ดินสีม่วง รองรับอุตสาหกรรม (ยกตัวอย่างที่ดินโซนสีม่วง อาทิ มาบตาพุด, ปลวกแดง, ศรีราชา, บ้านฉาง, บ้านบึง)

“จากการรุกเข้ามาของทุนจีน ส่งผลให้ราคาที่ดินโซน EEC ปรับเพิ่มขึ้นราว ๆ 10-15% ต่อปี ตามดีมานด์ที่สูงขึ้น เช่น โซนปลวกแดง-ระยอง ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 20-30% จาก 5.5 ล้านบาท/ไร่ เป็น 7.5 ล้านบาท/ไร่”