หลังยอดขายลดลงต่อเนื่องจาก 600 ล้านบาท เหลือ 200 ล้านบาท จากการตัดสินใจพลาดลงไปจับตลาดแมส ตอนนี้ถึงเวลา Sewa (เซวา) แจ้งเกิดครั้งใหม่ สลัดภาพ ‘แบรนด์ดารา’ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และกลับมาโฟกัสตลาด Premium Mass ที่ตัวเองเคยแข็งแรง
รวมไปถึงชูจุดแข็ง Functional Clean Skincare ที่เน้นส่วนผสมปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ และเห็นผลจริง โดยหวังเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่ม First Jobber และคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกสถานการณ์ให้แบรนด์กลับมาเติบโตอีกครั้ง
‘เบญจกิติ เมฆแสน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa เล่าถึงที่มาของความเคลื่อนไหวนี้ว่า แบรนด์ Sewa อยู่ในตลาดมานาน 9 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตดีมาตลอด กระทั่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยอดขายลดลงต่อเนื่อง จากยอดขายระดับ 600 ล้านบาท ลงมาเหลือ 200 ล้านบาทในปี 2567 จึงได้ทำ Focus Group กับกลุ่ม First Jobber และคนรุ่นใหม่ กลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน
เสียงสะท้อนที่ได้จากการสำรวจ คือ ‘แบรนด์ดูมีอายุ ไม่ตอบโจทย์ และไม่น่าเชื่อถือ เพราะเป็นแบรนด์ของดารา’ ซึ่งตอนแรกเธอยอมว่า ‘ไม่เชื่อ’ เนื่องจากมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่สามารถเติบโตได้ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ตัดสินใจทำการสำรวจอีกครั้ง และผลที่ได้มาก็ใกล้เคียงกับครั้งแรก
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้เบญจกิติ ตัดสินใจ ‘Reborn’ แบรนด์ Sewa ครั้งใหญ่ กลับมาสู้ในทางที่ตัวเองแข็งแรง นั่นคือ การวางโพซิชัน Functional Clean Skincare ที่เน้นส่วนผสมปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ และเห็นผลจริง เพื่อจับตลาด Premium Mass
“ตอนเริ่มต้นที่ทำร่วมกับพี่วุ้นเส้น (วุ้นเส้น วิรฒิภา) ยอมรับว่า เป็นอีกจุดที่แจ้งเกิดให้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน เทรนด์ก็เปลี่ยน และตอนนี้ก็ได้แยกย้ายกันไปเติบโตในทางของตัวเองตั้งแต่เดือน ก.พ.2568 ที่ผ่านมา ขณะที่การตัดสินใจกระโดดลงไปในตลาดแมส เนื่องจากมีคนแนะนำว่า ตลาดนี้โตมีมูลค่าน่าสนใจ จึงขยายไลน์สินค้าต่าง ๆ มีราคาตั้งแต่ 50-1,000 บาท และทำครีมซองออกมา
“แต่ด้วยเราไม่เก่งและแบรนด์ไม่แข็งแรงขนาดจะเข้าไปตลาดแมส ทำให้ตำแหน่งแบรนด์ไม่ชัดเจน ลูกค้าเกิดสับสน ไม่มั่นใจคุณภาพ ซึ่งเป็นบทเรียนให้เราจำไว้ว่า ต้องศึกษาตลาดให้มากกว่านี้ อย่าเห็นตัวเลขแล้วตาโต เพราะนั่นคือกับดักสู่หายนะ จนเราเกือบเลิกกิจการแล้ว”
สำหรับการแจ้งเกิดใหม่ของ Sewa ได้ ‘โละทิ้ง’ สินค้าตลาดแมสออกจากพอร์ตทั้งหมด และกลับมาโฟกัส 2 ฮีโร่ โปรดักต์ ได้แก่ Ultimate Recovery Treatment Essence และ Brightening Treatment Essence ด้วยการรีแบรนด์ให้ดูทันสมัย เริ่มตั้งแต่เปลี่ยนโลโก้ Sewa เป็นตัวพิมพ์เล็ก สื่อถึงความเรียบง่ายแต่ทันสมัย พร้อมออก แบบบรรจุภัณฑ์แบบ eco-friendly
ขณะเดียวกันได้วางงบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท สำหรับสร้างภาพจำใหม่ ผ่านจอ LCD ใจกลางเมือง, การหุ้มขบวนรถไฟฟ้า BTS, สื่อกลางแจ้งทั่วกรุงเทพฯ
ส่วนด้านช่องทางจำหน่าย จะเน้น Omni-channel ครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เริ่มจากช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee, TikTok Shop พร้อมระบบ Affiliate ที่เปิดให้ผู้บริโภคและครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์รีวิวรวมถึงขายสินค้าโดยตรง ก่อนจะขยายสู่ช่องทางโมเดิร์นเทรด
และแม้จะพยายามสลัดภาพ ‘แบรนด์ดารา’ แต่ทางประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa ยอมรับ ดารายังสำคัญในการสร้างการรับรู้และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
ดังนั้นแบรนด์ได้เลือก ‘เจนเย่ เมธิกา’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ สะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ และเชื่อมโยงกับความเป็นเกาหลีอย่างมีสไตล์ เพื่อหวังปูทางส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเจนย่ามีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน
ตั้งเป้าธุรกิจจะพลิกคืนกลับมาปีหน้า
หลังจากแจ้งเกิดแบรนด์ใหม่อีกครั้ง ทางประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sewa มั่นใจธุรกิจจะพลิกคืนกลับมาอีกครั้งภายในปี 2569 ด้วยการตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 600 ล้านบาท เท่ากับยอดขายช่วงก่อนแบรนด์จะเกิดสะดุด
แม้สภาพเศรษฐกิจดูจะไม่เอื้ออำนวย และตลาดสกินแคร์จะแข่งขันดุเดือด แต่ธุรกิจความงามยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหมวด Beauty & Personal Care ที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจอย่างชัดเจน สะท้อนจากข้อมูลล่าสุดของ Kantar ระบุว่า ตลาดสกินแคร์ในไทยยังมีโอกาสเติบโต โดยกลุ่มสกินแคร์ผิวหน้าโต 12.3% และเมคอัพโต 11%
สำหรับแรงหนุนที่ทำให้ตลาดสกินแคร์เติบโต หลัก ๆ มาจากพฤติกรรม Self-care ของผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนอายุ 25 ขึ้นไปที่หันมาใส่ใจสุขภาพผิวและองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มากขึ้น บวกกับกลยุทธ์การขายยุคใหม่อย่าง TikTok Shop และ Affiliate Commerce ที่เอื้อให้สินค้าหมวดบิวตี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขาย





