“คาโอ” เผยผลวิจัย – พบผู้บริโภคต้องการประหยัดเวลาซักผ้า จึงหันมาใช้ผงซักฟอกสูตรเข้มข้มและสูตรน้ำมากขึ้น

กรุงเทพฯ – บริษัทคาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท คาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยแพร่รายงานการวิจัยทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยต่อผลิตภัณฑ์ผงซักฟอก พร้อมแนะนำเคล็ดลับการดูแลรักษาเนื้อผ้า และวิธีเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม ในหนังสือ “Consumer Insight Report ฉบับที่ 8 : ความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อผงซักฟอกในปัจจุบัน”

ผลการวิจัยในส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคเกี่ยวกับการซักผ้า พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีเวลาน้องลงในการทำความสะอาดเสื้อผ้า เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้ความถี่เฉลี่ยในการซักผ้าเหลือเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และส่วนใหญ่ก็ยังคงพิถีพิถันในการซักผ้า โดยในการทำความสะอาดผ้าแต่ละครั้ง จะแยกซักระหว่างผ้าขาวและผ้าสี เพราะกลัวว่าสีของผ้าจะตกใส่กันและจะทำให้ผ้าขาวหมอง และนอกจากการใช้ผงซักฟอกแล้ว ผู้บริโภคยังใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพื่อช่วยถนอมผ้าให้นุ่ม น่าสวมใส่ ขณะเดียวกัน หากมีคราบเปรอะเปื้อนต่างๆ ก็จะใช้น้ำยาซักผ้าขาวหรือผลิตภัณฑ์ขจัดคราบเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพของการทำความสะอาดผ้าให้มากยิ่งขึ้น

เพราะเหตุที่ไม่มีเวลามากนักในการซักและทำความสะอาดผ้า ผู้บริโภคจึงคาดหวังสูงต่อผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกทั้งในแง่คุณประโยชน์ ประสิทธิภาพในการซัก โดยปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคจะใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อผงซักฟอก ก็คือ คุณภาพของผงซักฟอกในการทำความสะอาดและขจัดคราบสกปรกที่ฝังลึกในผ้าได้อย่างหมดจด และไม่ทำให้ผ้าหมอง รองลงมาคือกลิ่นหอมของผงซักฟอก โดยผู้บริโภคจะชื่นชอบกลิ่นหอมที่ติดเนื้อผ้าได้นาน นอกจากนี้ผู้บริโภคบางส่วนก็ยังคงให้ความไว้วางใจต่อยี่ห้อที่ตนคุ้นเคยหรือใช้เป็นประจำ เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพและสะดวกต่อการตัดสินใจซื้อ

ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ พฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงในช่วย 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังส่งผลให้ตลาดของผงซักฟอกในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

ตลาดผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกในประเทศไทย ในปี 2546 มีมูลค่าตลาดประมาณ 8,710 ล้านบาท ประกอบด้วยตลาดผงซักฟอกสูตรธรรมดา สูตรเข้มข้น และสูตรน้ำ โดยผู้ผลิตในตลาดต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกให้ครบทุกความต้องการของผู้บริโภค และมีความหลากหลายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพกับทุกการใช้งาน]

ตลาดผงซักฟอกสูตรธรรมดา เป็นตลาดครองสัดส่วนตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าตลาดกว่า 5,600 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนตลาดประมาณ 65% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะราคาที่ไม่แพงมากนัก ประกอบกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการใช้ผงซักฟอกประเภทนี้

ในขณะที่ผงซักฟอกสูตรเข้มข้นมีสัดส่วนตลาดโดยประมาณ 27% ของตลาดผงซักฟอก และถือเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องในช่วยง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นเพราะผงซักฟอกชนิดเข้มข้นมีประสิทธิภาพในการขจัดคราบสกปรกได้เป็นอย่างดี จึงช่วยประหยัดเวลาในการซักผ้าได้มาก ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่ค่อยจะมีเวลาในการซักผ้ามากนัก นอกจากนี้สภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมทั้งการเติบโตของตลาดเครื่องซักผ้า จึงส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผงซักฟอกเข้มข้นมากขึ้น

สำหรับตลาดผงซักฟอกสูตรน้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตามองและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคต่างก็ต้องการความสะดวกสบายในการซักทำความสะอาดผ้ามากขึ้น ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการเติบโตที่แม้ว่าจะเป็นตลาดที่เล็กที่สุดของตลาดผงซักฟอก โดยมีมูลค่าประมาณ 645 ล้านบาท แต่กลับมีอัตราการเติบโตสูงถึง 10.4% ในปี 2545 และมีอัตราการเติบโตอีกประมาณ 2.3% (ตัวเลขคาดการณ์) ในปี 2546 ที่ผ่านมา

การศึกษาวิจัยผู้บริโภคในหนังสือ “Consumer Insight Report ฉบับที่ 8 : ความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อผงซักฟอกในปัจจุบัน” เกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ผงซักฟอก ได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิงไทยทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีอายุระหว่าง 15-45 ปี จำนวน 800 คน