‘ปางขอน-ผาลั้ง’ ต้นแบบกาแฟยั่งยืน โมเดลที่ OR ตั้งใจปั้นเพื่อพลิกชีวิตชุมชน

ถอดรหัสการปั้นต้นแบบกาแฟยั่งยืนในไทยของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กับสองชุมชนบนดอยจากเชียงราย ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ ซึ่งไม่เพียงพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟ แต่เปลี่ยนชีวิตของคน ในชุมชนให้มีรายได้มั่นคง จากต่อครอบครัวมีรายได้หลัก ‘หมื่นบาท’ ต่อปี มาเป็น ‘แสนบาท’ ต่อปี  

 

ช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา OR ใช้ความเชี่ยวชาญของทีม Café Amazon เดินหน้าทำงานร่วมกับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั้งเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และชุมพร ในรูปแบบ ‘พัฒนาไปด้วยกัน’ ตั้งแต่ให้ความรู้ การพัฒนาคุณภาพผลผลิต การรับซื้ออย่างเป็นธรรม และได้ส่งต่อกาแฟคุณภาพไปสู่ร้าน Café Amazon กว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเสิร์ฟกาแฟรวมกันกว่า 400 ล้านแก้วทั่วโลกต่อปี

 

ความร่วมมือรูปแบบนี้ เป้าหมายไม่เพียงทำให้คุณภาพกาแฟดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และทำให้กาแฟเป็นอาชีพที่มั่นคงในระยะยาวจริง ๆ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน

โมเดลนี้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? 

 

ต้นแบบความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโมเดลดังกล่าว เห็นชัดจาก ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ สองชุมชนบนดอย จังหวัดเชียงราย โดย OR ได้นำโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟยั่งยืน มาสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ

 

เดิมทีปางขอนปลูกกาแฟมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่เป็นการปลูกแบบปล่อยให้ธรรมชาติดูแล ขาดความรู้และขาดตลาดรับซื้อที่มั่นคง ทำให้กาแฟเป็นเพียง ‘รายได้เสริม’ แบบพึ่งพาโชคชะตาของคนในพื้นที่เท่านั้น

 

กระทั่งปี 2560 ทาง OR ได้ทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับชุมชน นำองค์ความรู้ และเริ่มรับซื้อกาแฟควบคู่กับการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากปางขอนเป็นครั้งแรก ซึ่งเริ่มต้นปางขอนมีไม่กี่สิบครัวเรือนที่ปลูกกาแฟเป็นอาชีพเสริม แต่วันนี้จำนวนครอบครัวผู้ปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 ครัวเรือน และมีรายได้ต่อครอบครัวจาก 10,000-20,000 ต่อปี เพิ่มเป็นกว่าแสนบาทต่อปี

เช่นเดียวกับผาลั้ง ที่อดีตจะพึ่งพารายได้จากการปลูกลิ้นจี่ ซึ่งมีผลผลิตและการรับซื้อไม่แน่นอน หลังจากปี 2561 ได้ร่วมโครงการกับ OR โดย Café Amazon ปัจจุบันผาลั้งปลูกกาแฟกัน 100% กว่า 200 ครัวเรือน และมีรายได้เฉลี่ยหลักแสนบาทต่อปีต่อครัวเรือนเฉพาะจากการขายเมล็ดกาแฟ

 

ที่สำคัญ ด้วยการปลูกกาแฟ ต้องอาศัยร่มเงา ความชุ่มชื้นและระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในการเติบโต ทำให้เกษตรกรต้องดูแลป่าไปโดยอัตโนมัติ ทั้งรักษาต้นไม้ใหญ่ ปลูกไม้ร่มเงาเพิ่มและไม่ทำการเผาป่า ส่งผลให้ป่าของทั้งสองชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่ป่าไปในตัว

 

ในอนาคต OR พยายามขยายความร่วมมือกับชุมชนให้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละชุมชน และจะพัฒนาภายใต้ Café Amazon Standard ที่ครอบคลุมทั้งการพัฒนาคุณภาพ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เป็นมาตรฐานกลางที่ยกระดับกาแฟไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางของการปลูกไปจนถึงปลายทาง

 

  • ต้นน้ำ: ใส่ใจตั้งแต่การคัดเมล็ดเชอรี่ การจัดร่มเงา การดูแลต้นกาแฟ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี ช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีตั้งแต่ต้นทาง
  • กลางน้ำ: กระบวนการแปรรูป ควบคุมความชื้น คัดเกรด และคั่วภายใต้มาตรฐานเดียวกันที่ศูนย์ OASYS ก่อนต่อ ยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เมล็ดกาแฟคั่วสำเร็จ กาแฟกลุ่ม Home Used เช่น ดริปและแคปซูล
  • ปลายน้ำ: การส่งต่อประสบการณ์ผ่านกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคผ่านกว่า 4,500 สาขาของ Café Amazon พร้อมการสื่อสารที่จริงใจ ทำให้ผู้ดื่มมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างกาแฟในแก้วกับชีวิตของเกษตรกรบนดอยจริง ๆ

มาตรฐานนี้จะทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่สะท้อนคุณภาพจริง ผู้บริโภคได้กาแฟที่ดีขึ้น และระบบกาแฟไทยสามารถเดินหน้าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอน สอดคล้องกับแนวทางของ Café Amazon นั่นคือ ‘กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก’  

 

โดยความสำเร็จของปางขอนและผาลั้ง ถือเป็นโมเดลต้นแบบกาแฟยั่งยืนที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อเกษตรกรมีความรู้ โอกาส และตลาดที่เป็นธรรม ไม่เพียงจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ทว่ายังสามารถ ‘พลิกชีวิต’ และสร้าง ‘ความยั่งยืน’ ให้กับผู้คนและชุมชนได้จริง