สภาอุตฯ–TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม 2% แนะเร่งยกเครื่องสู่ Next Gen Industry


ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ดูเหมือน “ไปได้” แต่ไม่ “ไปไกล” ทั้งจีดีพีที่ครึ่งปีแรกยังโตได้ราว 2% กว่า และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่ใช่ “สินค้าไทยแท้” ในเชิงมูลค่าเพิ่ม ผนวกกับแรงกดดันใหม่ทั้งหนี้ภาครัฐที่ถีบตัวสูง สังคมผู้สูงวัย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น งานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย จึงถูกใช้เป็นเวที “เช็กสัญญาณใหญ่” ของทั้งโลกและเศรษฐกิจไทย ว่าเรากำลังยืนอยู่ตรงไหนของเกมอำนาจใหม่ และยังมีโอกาสดึง “รถติดหล่มเศรษฐกิจไทย” ขึ้นสู่เส้นทาง Next Gen Industry ได้ทันเวลาหรือไม่

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายในงานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา เช่น ไตรมาสที่ 1 ขยายตัวราว 3.2% และไตรมาสที่ 2 ประมาณ 2.8% ทำให้ครึ่งปี 2568 ยังดู “ไปได้” แต่เมื่อมองไปข้างหน้าโดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 กลับพบสัญญาณน่ากังวลว่าอัตราการเติบโตอาจเหลือเพียงราว 1.3% ซึ่งหากปล่อยให้ทั้งปีจบลงด้วยภาวะ “รถติดหล่ม” การจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากหล่มจำเป็นต้องใช้ “พลังและงบประมาณมหาศาล” และอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด


รัฐบาลใหม่–ครม. เศรษฐกิจ เดินหน้า 4 มาตรการเร่งด่วน หวังค่อย ๆ ดันรถขึ้นจากหล่ม

อย่างไรก็ตามฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจนำโดยนายเอกนิติ ได้หารือกับภาคเอกชนร่วมกันว่าต้อง “ไม่ยอมให้รถจมหล่ม” และต้องช่วยกันดึงขึ้นมาให้ได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนใน 5 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างรายได้ การลดรายจ่าย การเพิ่ม

การใช้จ่ายของประชาชน การแก้ปัญหาหนี้และเพิ่มสภาพคล่อง และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการท่องเที่ยว ทั้งนี้หลังจากภาคเอกชนที่ได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ระบุว่า ในช่วงเพียง 4 สัปดาห์ มีมาตรการเศรษฐกิจออกมาแล้ว 4 เรื่อง พร้อมทั้งมีแดชบอร์ดติดตามงานทำให้สามารถเห็นสถานะ (Status) ความคืบหน้าแต่ละมาตรการ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ประชุมจบแล้วไม่รู้ว่าเรื่องคืบหน้าไปถึงไหน อย่างไรก็ดี เส้นทางต่อจากนี้ยังต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาหนี้ การปล่อยสินเชื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


ส่งออกโตแต่ไม่ใช่ “สินค้าจริงของไทย”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า การประเมินล่าสุดของคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตในกรอบเดิม คือ 1.8–2.2% โดยค่ากลางอยู่ราว 2.0% แม้ตัวเลข

มูลค่าการส่งออกถูกปรับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 2–3% มาเป็น 9-10.5% แต่เมื่อ “แกะตัวเลข” ลึกลงไปกลับพบว่าสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะจีน) เพิ่มขึ้นกว่า 30% ขณะที่ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวเพียงเล็กน้อย ไม่สอดคล้องกับตัวเลขส่งออก “ตัวเลขที่ออกมาสะท้อนว่าการส่งออกที่ดูดีขึ้น “ไม่ใช่สินค้าไทยแท้” ในเชิงมูลค่าเพิ่ม จึงไม่เพียงพอให้ปรับประมาณการจีดีพีขึ้น”


ไทยต้องปรับตัวเลิกรับจ้างผลิตสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า จากแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงต้องเร่ง “หนีออกจากวงล้อเดิม” ที่พึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industry) แบบ OEM ใช้แรงงานเข้มข้น ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อตอบโจทย์นี้ จึงมีการออกแบบนโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชุดใหญ่ ภายใต้แนวคิด “4GO” ทั้งในด้านดิจิทัล–เอไอ, นวัตกรรม, ตลาดใหม่, อุตสาหกรรมสีเขียว

1. GO Digital & AI ดิจิทัลและเอไอ

ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์จะเป็น “เงื่อนไขบังคับ” ของทุกประเทศ รวมถึงไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ในสังคมที่เข้าสู่สังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง สภาอุตสาหกรรมฯ จึงจับมือกับกระทรวง อว. เดินโครงการ AFTI เพื่อยกระดับสมาชิกกว่า 16,000 บริษัท ให้สามารถนำดิจิทัลและเอไอมาใช้ในกระบวนการผลิตและบริหารจัดการอย่างจริงจัง

2. Go Innovation – นวัตกรรม

ในยุคที่ “ไม่มีใครแข่งผลิตของถูกกว่าจีนได้” การเอาตัวรอดของไทยต้องอยู่บนฐาน “นวัตกรรม” เท่านั้น ต้อง “จิ๋วแต่แจ๋ว” สภาอุตสาหกรรมฯ จึงร่วมกับกระทรวง อว. ตั้งกองทุน “Innovation One” เพื่อแมตช์สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีกับสมาชิกภาคอุตสาหกรรม กองทุนนี้ใช้รูปแบบ Matching Fund ข้างละ 1,000 ล้านบาท รวม 2,000 ล้านบาท และมีแผนจะขยายเพิ่มเติมหลังจากประสบความสำเร็จในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

3. GO Global หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพาตลาดเดิม

โมเดลการกระจายความเสี่ยงของจีนเป็นตัวอย่างสำคัญ จากเดิมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กว่า 20% ของการส่งออก ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงระดับ “สิบกว่าเปอร์เซ็นต์” และตั้งเป้าไม่ให้เกิน 10% เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ใช้การกดดันทางการค้าเป็น “คอขวด” ได้อีก ประเทศไทยจึงต้อง “GO Global” ออกไปหาตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ไม่ยึดติดตลาดเดิมเพียงไม่กี่ประเทศ

4. Go Green – กติกาโลกสีเขียวและพลังงานสะอาด

โลกกำลังก้าวสู่กติกาใหม่ที่ “ผลิตถูกอย่างเดียวไม่พอ” แต่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้พลังงานสะอาด การเข้าสู่มาตรฐานสีเขียวจึงเป็นทั้งเงื่อนไขการค้าและโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม มุ่ง Next Gen Industry, S-Curve, BCG และ “ไบโอ” ในฐานะแรร์เอิร์ธสีเขียวของไทย

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เป้าหมายของการปรับโครงสร้างคือการผลักดันไทยไปสู่ “Next Gen Industry – อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve รวม 12 กลุ่มโมเดล BCG (Bio–Circular–Green) โดยเฉพาะ “Bio” ที่สภาอุตสาหกรรมมองว่าเป็น “แรร์เอิร์ธสีเขียว” ของไทย เพราะไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีศักยภาพในการต่อยอดมูลค่า


จี้รัฐบาล รื้อกฎหมาย–เร่ง FTA–บริหารน้ำ–ลงทุนคน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุด สภาอุตสาหกรรมฯ สรุปข้อเสนอถึงภาครัฐใน 5 มิติหลักคือ

1. Next Gen Industry รัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรายละเอียดและสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ โดยดูตัวอย่างจากความสำเร็จของประเทศจีนที่ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ

2. กฎหมายล้าสมัยกฎหมายที่มีอยู่กว่าหนึ่งแสนฉบับต้องเร่ง “รื้อและลด” อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อคลี่คลายความยุ่งยากและซ้ำซ้อน ขณะนี้มีทีมของ ศ.บวรศักดิ์ ร่วมกับภาคเอกชนกำลังเดินหน้าทบทวนอยู่ แต่จำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน

3. BCG Model และการปรับกฎหมายให้สอดคล้องต้องทำ BCG Model ให้ “เต็มรูปแบบ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ พร้อมปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้จริง

4. FTA และโครงสร้างพื้นฐาน–น้ำเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) และ Free Trade/Free Zone ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง แต่ต้องจัดการน้ำให้ “เป็นประโยชน์” ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

และสุดท้าย 5. Human Development – การพัฒนาคนทักษะสูงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการแรงงานทักษะสูง ทักษะแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการอัปสกิล–รีสกิลอย่างจริงจัง


TDRI เปิด 6 สัญญาณเขย่าโลก หนี้รัฐล้นระบบสงครามการค้า-เทคโนโลยี

ด้าน ดร. นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยภายในงานสัมมา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า วันนี้เราจะมาดู “ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย” และเรื่องการเมืองเล็กน้อย เพื่อจะใช้เป็น

สัญญาณให้เห็นภาพรวมว่าโลกกับเศรษฐกิจไทยกำลังเดินไปทิศทางไหน ซึ่งถ้าเรามองโลกยาวออกไปสัก 5–10 ปีข้างหน้า มันจะมี “สัญญาณสำคัญ 6 ตัว” ที่ต้องจับตา ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละประเทศจะโตดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเขาจัดการมันอย่างไร ทั้งนี้ 6 สัญญาณนี้ประกอบด้วย 1. เรื่อง “หนี้ภาครัฐ” 2. “โครงสร้างประชากร” ที่เปลี่ยนไป เข้าสู่สังคมสูงวัย 3. “Internal Order” หรือระเบียบภายในประเทศ 4. “ภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม” 5. “ภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitics) ที่เริ่มมีปัญหาและปะทุขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และ 6. “โครงสร้างอำนาจของโลก” ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร กำลังเปลี่ยนทิศทางไปแบบไหน

ปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงและเป็นตัวชี้ว่าประเทศไหนจะเติบโตได้ดีหรือไม่ดี และขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศ “จัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน” ประเด็นแรก คือเรื่อง “หนี้ภาครัฐ” หรือบางคนเรียกว่า “หนี้ล้นระบบ” โดยความสำคัญของมัน อาจมองเป็นสองตัวแปรใหญ่ที่เข้ามาชนกัน

ดร. นณริฎ ตัวแปรแรกคือปัญหา “หนี้” ในตัวมันเองโดยปกติ หนี้ก็เป็นหนี้ของใครของมันไป ถ้าเป็นหนี้ครัวเรือนหรือหนี้บริษัท เวลาเป็นหนี้ก็จะใช้จ่ายได้น้อยลงสักพักหนึ่ง จนกว่าจะเคลียร์หนี้ได้ พอใช้หนี้หมด เขาก็กลับมาบริโภคได้ใหม่ แต่ “หนี้ภาครัฐที่สูงมาก” มันไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จัดการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวบุคคล หรือด้วยเครื่องมือปกติของธนาคารกลางอย่างเดียว พอหนี้สูงจนถึงระดับหนึ่ง ธนาคารกลางต้องใช้ “มาตรการฝ่ายการคลังและมาตรการเชิงโครงสร้างของภาครัฐ” เข้ามาช่วยจัดการลักษณะหนี้แบบนี้ เราจึงเรียกกันว่าเป็น “หนี้ที่จัดการได้ยาก” หรือหนี้ที่เริ่มเป็นภาระเชิงโครงสร้าง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ IMF ออกมาเตือนหลายประเทศทั่วโลก

วันนี้ ถ้าเราดูแผนที่โลกเรื่อง “หนี้ภาครัฐต่อจีดีพี” จะเห็นว่าหลายประเทศ ตัวเลขพุ่งขึ้นไปแถว ๆ 100% ของจีดีพีแล้วความน่ากลัวของมันมีอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือ “ความจริงทางเศรษฐกิจ” ว่าหนี้สูงทำให้รัฐมีพื้นที่นโยบายจำกัด เมื่อเกิดวิกฤตใหม่ ๆ ก็ช่วยได้ไม่เต็มที่ ชั้นที่สองคือ “ความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุน” เวลา IMF หรือองค์กรระดับโลกออกมาเตือน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ช่องทางของความคาดการณ์” หรือ Expectations Channel คือ “ถ้าคนที่เป็นเจ้าหนี้เดิมเคยคิดว่า ลูกหนี้คนนี้แม้จะมีหนี้เยอะ แต่ยังจ่ายได้ทุกปีสม่ำเสมอ เขาก็อาจยังไม่กังวลมากแต่พอมีคนมากระซิบว่า คนนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้นะ ระวังหน่อย ความกลัวก็จะค่อย ๆ สะสมสุดท้าย แม้บางประเทศอาจจะยังไม่ถึงจุดวิกฤต แต่ก็อาจถูก “ลดเครดิต” ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ฐานะจริงอาจยังไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นเพราะฉะนั้น เรื่องหนี้ภาครัฐจึงเป็นปัจจัยแรกที่เราต้องจับตาว่า “ประเทศไหนหนี้มาก” ก็จะลำบากมากขึ้นในการรับมือวิกฤตข้างหน้า” ผมยกตัวอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ให้ดูว่า แม้จะเป็นประเทศที่ดูเข้มแข็ง แต่ก็มีสัญญาณเตือนเรื่องหนี้จากหลายสถาบัน ซึ่งถ้าไม่บริหารจัดการดี ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมา คือเรื่อง “โครงสร้างประชากร”ถ้าเรามอง “ภาพรวมของโลก” จะพบว่ากลุ่มประเทศที่ “ประชากรยังเพิ่มขึ้นเร็ว” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “อัตราการเกิดสูงพอ” จริง ๆ แล้วเหลืออยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศในแอฟริกา หรือบางกลุ่มในเอเชียใต้แต่ประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ทั้งหลาย กำลังเผชิญ “สังคมสูงวัย” และ “อัตราการเกิดต่ำ” ถ้ามองสัดส่วนประชากรวัยแรงงาน คืออายุประมาณ 15–64 ปี เราจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนนี้ของโลกยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอราว ๆ ปี 2010 เป็นต้นมา ประชากรรุ่นใหม่ที่เข้ามาทดแทนแรงงานรุ่นเก่า เริ่มเพิ่มช้าลงและตั้งแต่ราวปี 2013 เป็นต้นมา “จำนวนประชากรวัยแรงงานของโลก” เริ่มมีแนวโน้ม “ลดลง” ซึ่งจะเป็น“คลื่นใหญ่” ที่กำลังอัปเดตโครงสร้างประชากรของโลก และแต่ละประเทศต้องคิดให้ดีว่า จะรับมืออย่างไรในระดับโลก เรากำลังเผชิญ “จุดหักเหใหญ่” ที่วัยแรงงานจะไม่เพิ่มต่อ แต่เริ่มหายไปเรื่อย ๆ ผลก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่เคยมีแรงงานจำนวนมากรองรับ ก็จะเริ่มขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ภาระด้านสวัสดิการผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้น ถ้าเราดูฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นว่า “ญี่ปุ่น” เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนใคร ตามมาด้วย “สหรัฐฯ” และ “สหภาพยุโรป”ส่วน “ประเทศไทย” รูปแบบจะคล้าย ๆ กับ “จีน” คือไทยเคยมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่พักใหญ่แต่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงที่ “เริ่มหักหัวลง” แล้วเช่นกัน อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าดูประเทศที่ยังมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย หรือบางประเทศในแอฟริกา โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังพอมี แต่ก็ต้องบริหารให้ดี เพราะถ้ารับแรงงานไว้มาก แต่ไม่มีงานให้ทำ ก็จะกลายเป็น “ภาระ” ต่อระบบสวัสดิการและความมั่นคงภายใน

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ถัดมาคือระเบียบภายในของการเมืองแต่ละประเทศ” ซึ่งในระดับโลกจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ “สมัยก่อน เราถูกสอนมาว่า โลกกำลังเดินไปในทิศทาง “เสรีประชาธิปไตย+ตลาดเสรี” อย่างชัดเจน คือ เน้นรัฐสวัสดิการ ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง–การเงินแบบขยายตัว เชื่อในการค้าเสรี เชื่อในเสรีภาพการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน เชื่อในความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน แต่พอเวลาผ่านไป หลายประเทศที่เดินเส้นทางนี้กลับเจอ “ผลข้างเคียง” เช่นความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาสสูงขึ้น หนี้สาธารณะพุ่ง การรับผู้อพยพที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรม” ในหลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เราเห็นความพยายาม “ปรับลด” สวัสดิการบางอย่าง เช่น การปรับอายุเกษียณ ก็เกิดการประท้วง การจลาจล การไม่พอใจของประชาชน ในสหรัฐฯ ก็เห็นการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจนขึ้น มีการชูแนวคิด “ทำเพื่อตัวเองก่อน” มากกว่าการเป็น “ผู้นำโลกเสรีนิยม” แบบในอดีต ในเยอรมนี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ เราเห็น “พรรคการเมืองฝั่งขวา–ชาตินิยม” เพิ่มบทบาทมากขึ้น สะท้อนปฏิกิริยาต่อปัญหาภายใน เช่น การอพยพ ประเด็นวัฒนธรรม และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้ ทำให้ “ระเบียบทางการเมืองภายในประเทศ” ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนในตำราอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งความเสี่ยงใหม่ของเศรษฐกิจโลก

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า เรื่องต่อไป คือ “ภูมิรัฐศาสตร์” กับคำถามว่า “สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอย่างแรก เราต้องยอมรับว่า ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า “มาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า” ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเฉพาะตัวของผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ถูกใช้ใน “สงครามเชิงโครงสร้างระหว่างสองขั้วอำนาจ” คือ สหรัฐฯ กับจีน เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในอนาคต ศาลหรือกลไกต่าง ๆ จะบอกว่า ผู้นำบางคน “ใช้อำนาจเกินขอบเขต” หรือ “ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย” มาตรการบางอย่างอาจถูกลดความรุนแรงลงแต่ไม่ได้แปลว่า ความเสี่ยงจะหายไปเพราะสุดท้าย อาจจะมีผู้นำคนใหม่ หรือมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกคิดขึ้นมาใช้ต่อในสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอยู่ดีต่อให้ตัวละครเปลี่ยน กติกาบางส่วนเปลี่ยน แต่ “โครงเรื่องใหญ่เรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ยังอยู่ และนี่คือบริบทที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องอยู่ร่วมและปรับตัวให้ทันในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า การสู้กันของสหรัฐกับจีนรอบนี้ อาจจะไม่ใช่ Geopolitics ในแบบเดิมที่เราเคยคุ้นกัน คือสมัยก่อน Geopolitics จะเป็นเรื่องของ Hard Power เป็นเรื่องของการแย่งดินแดน ใช้การทูต ใช้อำนาจแข็ง ใช้กำลังเข้าไป “ลบล้าง–ห้ำหั่น” กัน แต่ว่ารอบนี้มันจะเป็น Geo-economics แทน Geo-economics คือการใช้ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ–เศรษฐศาสตร์” ในการจัดการเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ตัวอย่างเครื่องมือในสงครามเชิงเศรษฐกิจ เช่นเเราอาจจะเห็น Trade War และ Sanction มากขึ้น การออกมาตรการ “บังคับ/กีดกัน” การลงทุนข้ามประเทศการ “ดัก” หรือสกัดไม่ให้เกิดการลงทุนข้ามแดนในบางอุตสาหกรรม ปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างของสหรัฐ “ไม่ยั่งยืน”หนี้มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นมันเป็นเพียง “เรื่องของเวลา” ว่า วันใดวันหนึ่ง หากสหรัฐไม่สามารถเติบโตแบบเดิมได้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้อง “หาเครื่องมือใหม่” มาช่วยหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงก็คือ Trump Tariff จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่จะยังอยู่ต่อในอนาคต ไม่ใช่ของชั่วคราว และสำคัญที่กำลังสู้กันอยู่ และมี Implication กับประเทศไทย คือ 4 เรื่องหลัก 1. สงครามด้าน เทคโนโลยี 2. สงครามด้าน ดาต้า (Data) 3. สงครามด้าน เอนเนอร์จี (Energy) 4. สงครามด้าน ทรัพยากร (Resources) ทั้งหมดจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะ Drive ต่อว่าบนเวทีโลก “ใครจะควบคุม Power ได้มากกว่าใคร”

ในธรรมชาติของโลก (Nature) ทุกท่านทราบกันดีว่า มันมีความอันตราย และกำลังจะเข้ามามีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ซึ่งเราต้องหาทางจัดการอย่างเร่งด่วนและใน Long-term Shock นี้ เราเห็นภาพชัดเจนว่าในอนาคต ทุกประเทศในโลก หนีเรื่องนี้ไม่พ้น โครงสร้างอำนาจของโลก สุดท้ายในส่วนนี้คือ เทคโนโลยีใครที่ เก่งด้านดิจิทัลใครที่ ปรับตัวกับดิจิทัลได้ดีประเทศนั้นหรือกลุ่มคนนั้น เศรษฐกิจมักจะโตเร็วกว่าคนอื่นส่วนใครที่ตามดิจิทัลไม่ทัน ตกเทรนด์ก็จะแย่ลงAI ก็เช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างในตลาดหุ้น S&P ดัชนีโดยรวมอาจจะทำ New High จริง แต่ถ้าเจาะดูรายตัว จะเห็นว่าหุ้นที่โตจริง ๆ คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ New Technology ส่วนหุ้นอื่น ๆ ที่เป็น Core Business แบบเดิมกลับแย่ลง นี่สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีกำลัง “แบ่งโลก” ออกเป็นสองฝั่ง อย่างชัดเจนจะเห็นว่าทั้งโลก หันมาพยายามดึงเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต (Growth Engine) เหมือนกันหมด เมื่อฟังสัญญาณจากทั้งภาคเอกชนและนักวิชาการ สิ่งที่ชัดเจนคือ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ “จุดหักเหใหญ่หลายด้าน ทางออกจึงไม่ใช่เพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือการเร่ง “ยกเครื่องโครงสร้าง” ซึ่งหากรัฐบาล ภาคเอกชน และสังคมไทยสามารถเปลี่ยนสัญญาณเตือนเหล่านี้ให้กลายเป็น “เข็มทิศใหม่” ได้ทันเวลา รถเศรษฐกิจไทยอาจไม่เพียงแค่หลุดจากหล่ม แต่ยังมีโอกาสกลับมาวิ่งบนเลนของประเทศที่ใช้วิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตระยะยาวได้อีกครั้ง