ทำไมประเทศไทยที่เหนือกว่ากัมพูชาในทุกมิติ กำลังทหาร อาวุธ เศรษฐกิจ จึงไม่สามารถชนะกัมพูชาได้สักที?
ถ้าวัดกันด้วยกำลัง ความขัดแย้งนี้ควรจบไปนานแล้ว
แต่ทำไมประเทศที่เหนือกว่าอย่างไทย ถึงไม่สามารถชนะสงครามอย่างเด็ดขาดได้สักที
หรือเราไม่มีอิสระที่จะชนะ?”
เพราะอำนาจในศตวรรษนี้ไม่ได้อยู่ที่ปืน
ประเทศไทยไม่ได้อยู่ได้ด้วยรถถัง แต่อยู่ได้ด้วยภาพลักษณ์
เราขาย:
การท่องเที่ยว
เสถียรภาพ
ความเป็นมิตร
ความน่าเชื่อถือในสายตาโลก
พูดให้เห็นภาพที่สุด:
ประเทศก็มีแบรนด์
และแบรนด์มีต้นทุน
เพราะทุกการใช้กำลัง มีราคาซ่อนอยู่
ราคาไม่ใช่ในงบกลาโหม
แต่คือ:
- ตัวเลขนักท่องเที่ยว
- การตัดสินใจของนักลงทุน
- ท่าทีของมหาอำนาจ
ประเทศที่ผูกตัวเองกับโลก
ย่อมไม่มีอิสระจะ “ชนะให้สุด”
ประเทศที่ดูแข็งแรงกว่า
มักเป็นประเทศที่ชัยชนะมีราคามากกว่า
ฝ่ายที่อ่อนกว่า ไม่ต้องชนะ แค่ไม่แพ้
กัมพูชาไม่จำเป็นต้องชนะไทย
แค่ยืดเกมให้นานพอ ก็พอแล้ว
ยิ่งยืด
ยิ่งดึงเวทีนานาชาติ
ยิ่งทำให้ฝ่ายที่เหนือกว่า ดูเป็นผู้ใช้กำลังเกินจำเป็น
นี่คือเกมแบบ asymmetric นี่คือเกมที่ฝ่ายอ่อนกว่าออกแบบได้ดีเสมอ
เพราะในเกมนี้ เวลาเป็นอาวุธ
และคนที่มีอะไรต้องเสีย มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ASEAN ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ใคร “ชนะ”
อาเซียนมีข้อตกลงที่ไม่เคยเขียนไว้:
- อย่าทำให้ใครอับอาย
- อย่าทำให้ใครต้องเลือกข้าง
- อย่าทำให้ภาพ “ภูมิภาคที่สงบ” แตก
ชัยชนะที่ชัดเจนของไทย
คือความล้มเหลวของระบบนี้
เมื่อระบบไม่อนุญาตให้มีผู้ชนะ
ผลลัพธ์เดียวที่เหลืออยู่
คือความค้างคา
และความค้างคา
คือพื้นที่ที่ประเทศเล็กใช้ต่อรองกับประเทศใหญ่ได้ดีที่สุด
คำถามเลยไม่ใช่ “ไทยชนะได้ไหม” แต่คือ
ไทยยอมเสียอะไรได้บ้าง เพื่อคำว่าชนะ
- ยอมเสียภาพลักษณ์หรือไม่
- ยอมรับแรงกดดันจากมหาอำนาจหรือไม่
- ยอมให้เศรษฐกิจสะดุดหรือไม่
คำตอบโดยพฤตินัยคือ: ไม่
ในความขัดแย้งนี้ปัญหาของไทยไม่ใช่ความอ่อนแอ
แต่คือเราประสบความสำเร็จเกินกว่าจะกล้าเสี่ยง
บทเรียนของโลกยุคใหม่
- ความเหนือกว่า ≠ สิทธิ์ในการใช้
- การชนะ ≠ การสร้างมูลค่า
- คนที่ดูอ่อนกว่า อาจเป็นคนกำหนดเกม
ในธุรกิจ ในแบรนด์ และในภูมิรัฐศาสตร์
บางครั้ง
การไม่ชนะ
คือการเลือกต้นทุนที่ต่ำที่สุด
ประเทศไทยไม่ได้แพ้ แต่ก็ไม่สามารถชนะ
เพราะในโลกที่เชื่อมถึงกันทั้งใบ
ชัยชนะไม่ได้วัดจากกำลัง
แต่วัดจากราคาที่ต้องจ่าย
และสำหรับประเทศอย่างไทย
ราคานั้น…อาจแพงเกินไป


