‘ธุรกิจครอบครัว’ เป็นหนึ่งของภาคธุรกิจที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เปิดเผยว่า 2 ใน 3 ของบริษัทจดทะเบียนเป็นธุรกิจครอบครัว มูลค่าและ IPO ของธุรกิจครอบครัวมี Market Cap 50.2% ของตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงมีการจ้างงาน 1.3 ล้านอัตรา คิดเป็น 74% ของการจ้างงานทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียน
แต่ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งสภาพเศรษฐกิจ เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ธุรกิจครอบครัวต้องเผชิญกับความกดดันและความท้าทายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องก้าวข้าม เพื่อให้อยู่รอดและยืนหยัดต่อไปมีอะไรบ้าง?
ผลสำรวจธุรกิจครอบครัวไทย ปี 2568 ของ ‘PwC ประเทศไทย’ ได้เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจต่อประเด็นนี้ โดย 69% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยเห็นตรงกันว่า ‘ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องฝ่าฟันมากที่สุด
รองลงมา 53% มองเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภค’ และ 44% ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า หรือความไม่มั่นคงในแต่ละภูมิภาค
สำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันรอบด้านที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง หลายธุรกิจครอบครัวของไทยได้ปรับกลยุทธ์จาก ‘การโตแบบก้าวกระโดด’ สู่ ‘การเติบโตที่เน้นความมั่นคง’ เป็นหลัก โดยเน้นแนวทางแบบ ‘อนุรักษ์นิยม’ เป็นหลัก
เห็นได้จากการตอบคำถามที่ว่า ‘ในช่วงที่เกิดความผันผวนของตลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม ธุรกิจครอบครัวของคุณมักจะตอบสนองอย่างไรในแง่ของแนวทางการบริหารจัดการ?’ พบว่า
39% ของธุรกิจครอบครัวไทยเลือกใช้ ‘แนวทางที่ระมัดระวัง’ เน้นเปลี่ยนแปลงทีละน้อยและค่อยเป็นค่อยไป ยังคงยึดมั่นกับรูปแบบการบริหารและกระบวนการตัดสินใจที่คุ้นเคย ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 35%
นอกจากนี้ธุรกิจครอบครัวไทยเพียง 11% เท่านั้นที่กล้าทะยานสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างจริงจัง รวมถึงการกล้าจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารแบบใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน และยังไม่มีธุรกิจครอบครัวไทยรายใดกล้ากระโจนเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมอย่างเต็มรูปแบบ (ขณะที่ทั่วโลกมี 3% ที่กล้าเสี่ยง)
สะท้อนถึงความระมัดระวังโดยธรรมชาติของธุรกิจครอบครัวไทย ที่อาจเป็นทั้งจุดแข็งในยามวิกฤตและข้อจำกัดในการคว้าโอกาสใหม่ในเวลาพร้อมกัน
ที่น่าจับตา คือ ในปัจจุบันที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการเติบโตทางธุรกิจทั่วโลก ทว่าธุรกิจครอบครัวไทยยังคงขาดความตื่นตัวและการตระหนักถึงเทรนด์นี้ โดย มีเพียง 3% ของธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้นที่ระบุว่า การได้ทดลองใช้ AI/GenAI เป็นโอกาสในการเติบโต ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 61%
และ 36% ของธุรกิจครอบครัวไทยที่มองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจครอบครัว ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เล็งเห็นความสำคัญของปัจจัยนี้อยู่ที่ 65%
ธุรกิจครอบครัวไทยขัดแย้งกันบ่อยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
สำหรับธุรกิจครอบครัว การสร้างความไว้วางใจภายในวงศ์ญาติเป็นจุดตั้งต้นที่สําคัญ โดยต้องอาศัยความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และการสร้างหลักปฏิบัติที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องเผชิญ เพราะผลสํารวจพบว่า ธุรกิจครอบครัวไทยเกิดความขัดแย้ง ‘บ่อยกว่า’ ค่าเฉลี่ยโลก โดยผู้นําธุรกิจครอบครัวไทย 47% ต้องพบกับความขัดแย้งภายในครอบครัวที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 38%
สะท้อนให้เห็นถึงความจําเป็นในการบริหารจัดการความสัมพันธ์และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความไว้วางใจที่มั่นคงในระยะยาว
ส่วน ‘การรักษาชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัว’ 58% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยระบุว่า ‘สําคัญอย่างมาก’ แต่ก็ยังต่ำว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 78%
ขณะที่ ‘ความไว้วางใจ’ รากฐานสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างมั่นคง เพราะหากขาดเรื่องนี้ไป ไม่เพียงแต่จะกระทบตอความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธุรกิจด้วย
ในประเด็นนี้ผู้นำธุรกิจครอบครัวไทย 44% ระบุว่า ธุรกิจครอบครัวของตนได้รับความไว้วางใจและมีชื่อเสียงในสายตาของลูกค้า พนักงาน และคู่ค้า สูงกว่าบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 74%
4 ประเด็นที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องปรับเพื่อชนะ
รายงาน PwC ฉบับดังกล่าว ยังได้แนะ 4 ประเด็นสำคัญสำหรับธุรกิจครอบครัวไทยให้พลิกความซับซ้อนให้เป็นแต้มต่อเหนือคูแข่ง ได้แก่
1.กําหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่างอย่างยั่งยืน โดย ‘ผู้นําธุรกิจ’ ควรจัดทําคําแถลงพันธกิจอย่างเป็นรูปธรรม และผนวกรวมไว้ในกลยุทธ์ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดําเนินงานที่โปร่งใสและชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างสมาชิกครอบครัวต่างรุ่น ส่งเสริมการปรับตัวและการฟื้นตัว เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
2.เสริมสร้างความคล่องตัวทางโครงสร้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการกระจายอํานาจให้คณะกรรมการตัดสินใจ ปรับปรุงระบบกํากับดูแลให้มีความโปร่งใส รวมถึงกําหนดบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นกับผู้บริหารให้ชัดเจนและสอดคล้องกัน
3.ลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว โดยไม่เน้นเพียงการลงทุนในนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ควรขยายไปสู่โครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนและการพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง
4.การบริหารจัดการชื่อเสียงและภาพลักษณ์ เป็นปัจจัยสําคัญสําหรับการเติบโตเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัวไทยไม่ใช่เพียงสิ่งที่สืบทอดกันมา แต่เป็นหัวใจสําคัญในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้พนักงานและสมาชิกครอบครัวรุ่นใหม่มีความภาคภูมิใจในแบรนด์ พร้อมกับควรเติมทักษะจําเป็นเพื่อจะเป็นตัวแทนแบรนด์ที่แท้จริง โดยเน้นการใช้ช่องทางดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในยุคปัจจุบัน
ทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวของไทยเดินหน้าต่อไปได้ ในยุคที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย
