ปี 2568 คือปีที่ “ตลาดชา” ระอุต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดชา 26,000 ล้านบาท แต่มีจำนวนร้านชาทั่วไทยกว่า 30,000 แห่ง ทำให้สมรภูมินี้ กลายเป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดของธุรกิจเครื่องดื่มในไทย
และแรงหนุนสำคัญก็มาจากฝั่งผู้บริโภค
ข้อมูลจาก Grab ชี้ว่า ปี 2568 เครื่องดื่มที่ถูกสั่งมากที่สุดแห่งปีคือ “ชาเย็น” (รวมชาไทย + ชานมไข่มุก) กว่า 11 ล้านแก้ว ตามมาติด ๆ ด้วย ชาเขียว 9 ล้านแก้ว จากกระแสมัตจะฟีเวอร์ ส่งผลให้แชมป์เก่าอย่างอเมริกาโนเย็น หล่นไปอยู่อันดับ 3 อย่างเป็นทางการ
ร้านชาโกยรายได้ต่อเนื่อง
เมื่อดีมานด์สูง รายได้ของร้านชาเบอร์ท็อปไทยก็เติบโตตาม แต่ตัวเลขกำไรสะท้อนว่า ‘เกมนี้ไม่ง่ายนัก’
ชาตรามือ : บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด
- รายได้ 1,831 ล้านบาท เติบโต 43%
- กำไรสุทธิ 268 ล้านบาท เติบโต 37%
NOSE TEA : บริษัท โนส ที (ประเทศไทย) จำกัด
- รายได้ 297 ล้านบาท เติบโต 512%
- กำไรสุทธิ 30 ล้านบาท เติบโต 496%
Bearhouse : บริษัท 21ซันแพสชั่น จำกัด
- รายได้ 420 ล้านบาท เติบโต 31%
- กำไรสุทธิ 3.6 ล้านบาท ลดลง 13%
Karun : บริษัท การัน เบฟเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด
- รายได้ 154 ล้านบาท เติบโต 52%
- กำไรสุทธิ 2.9 ล้านบาท ลดลง 67%
ผู้เล่นต่างชาติสบช่อง บิ๊กเนมทยอยคัมแบ็ก
ความร้อนแรงของตลาดชาในไทย ไม่ได้ดึงดูดแค่แบรนด์ในประเทศ แต่ยังเรียกบิ๊กเนมต่างชาติให้หวนคืนสนาม
CHAGEE จากจีน
ชาจี ภายใต้การบริหารของ บริษัท ชาเอ็กซ์พลอเรอร์ จำกัด ถือหุ้น 49% (ผู้ถือหุ้นเดิม) ก่อนที่กลุ่มมาม่า (ผู้ถือหุ้นใหม่) จะเข้าลงทุน 51% มูลค่า 142 ล้านบาท
ปี 2568 เร่งเปิดมากกว่า 5 สาขาในโลเกชันหลัก ทั้ง The Parq, เซ็นทรัลพระรามสาม และโรบินสันลาดกระบัง
Gong Cha
แบรนด์ไต้หวัน สุดไวรัลในเกาหลีใต้ ที่เคยถอนทัพจากไทยเมื่อ 10 ปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2568 ภายใต้การนำเข้าของ Thai Outdoor Group (TOG) ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามพารากอน
HEYTEA
เจ้าของตำนานชาชีสและชาองุ่น หลังเคยเปิด Heekcha ในไทย และปิดตัวไปเมื่อปี 2563
ล่าสุด ส่งสัญญาณกลับมาไทย จากการเปิดรับสมัครพนักงานตำแหน่ง Store Manager ประจำสาขากรุงเทพ ผ่าน LinkedIn
คาดว่าเตรียมกลับมาลุยตลาดไทยอีกครั้งในปี 2569
แบรนด์ไทยรุกหนัก แตกไลน์–แจ้งเกิดน้องใหม่รัว ๆ
ฝั่งแบรนด์ไทยเองก็ขยับเกมเร็วไม่แพ้กัน
“ชาตรามือ” นอกจากขยายแบรนด์หลักเฉลี่ย 30 สาขา/ปี ยังรุกเซกเมนต์พรีเมียม ด้วยแบรนด์ใหม่ CTM (ย่อมาจาก Captivating Tea Muse) จับเทรนด์ชา Specialty ที่กำลังโต และวางหมากขยายในอัตราเดียวกับแบรนด์แม่
ขณะเดียวกัน ตลาดชา ก็เปิดพื้นที่ให้ “น้องใหม่” แจ้งเกิดต่อเนื่อง อาทิ
“ชงดี” (Chongdee) กับซิกเนเจอร์ ชาใต้เข้มข้น มาพร้อมปาท่องโก๋ เปิดเพียง 2 ปี ขยายแล้ว 13 สาขา รายได้ปี 2567 กว่า 36 ล้านบาท
“ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” เริ่มจากแผงเล็ก ๆ ในตลาดนัดจ๊อดแฟร์ ภายใน 2 ปี ขยายมากกว่า 22 สาขา จากพลังไวรัลและแบรนด์ดิ้งชัด
อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 คาดว่า การแข่งขันยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง เมื่อผู้เล่นใหม่เข้ามาไม่หยุด และบิ๊กเนมระดับโลก เริ่มกลับมาเคาะประตูอีกครั้ง
คำถามสำคัญอาจไม่ใช่ “ตลาดชาจะโตไหม“ แต่คือ แบรนด์ไหนจะได้ไปต่อ และแบรนด์ไหนจะถูกคัดออกจากเกม…






