หมูแพง : ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่ง…ปริมาณบริโภคเพิ่ม

ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มและราคาเนื้อสุกรจำหน่ายปลีกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2547 จนถึงในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม กล่าวคือ ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 52 บาทในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมจากที่อยู่ในระดับกิโลกรัมละ 33-36 บาทในช่วงต้นปี 2547 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 และราคาเนื้อสุกรจำหน่ายปลีกพุ่งขึ้นไปที่กิโลกรัมละ 105-120 บาทจากที่อยู่ในระดับกิโลกรัมละ 70-75 บาทในช่วงต้นปี 2547 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50-60

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้นนั้นมาจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อสุกรทดแทนเนื้อไก่ อันเป็นผลต่อเนื่องจากปัญหาโรคระบาดไข้หวัดนก ทำให้ความต้องการเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ในขณะที่ปริมาณการผลิตสุกรในช่วงครึ่งแรกปี 2547 เพิ่มขึ้นไม่ทันกับความต้องการ

นอกจากนี้ผู้เลี้ยงสุกรต้องเผชิญกับปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพง โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง อันเป็นผลมาจาก 3 ประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักของโลกได้แก่ สหรัฐฯ อาร์เจนตินา และบราซิล เกิดปัญหาความแห้งแล้ง ผลผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง ทำให้ปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกลดลง และราคามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งไทยพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ก็ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย

จากปัญหาราคาสุกรที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงควบคุมราคาสุกรหน้าฟาร์มและราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งอนุมัติให้มีการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นจากโควตาที่มีการอนุมัติให้นำเข้าในช่วงต้นปี 2547 ทั้งนี้เพื่อดึงให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศลดลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตสุกร ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เลี้ยงสุกรจากการที่ต้องถูกควบคุมราคาจำหน่ายสุกร

เมื่อราคาสุกรอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้คาดว่าปริมาณสุกรในช่วงครึ่งหลังของปีจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรขยายปริมาณการเลี้ยง อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาสุกรจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี 2547 อันเป็นผลมาจากปริมาณความต้องการบริโภคยังอยู่ในเกณฑ์สูง จากการที่ผู้เลี้ยงไก่เนื้อและไก่ไข่จะกลับมาเลี้ยงรอบใหม่และผลผลิตออกสู่ตลาดได้ในช่วงปลายปี 2547

ราคาสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้น…ราคาวัตถุดิบพุ่ง ปริมาณการบริโภคขยายตัว

การที่ราคาสุกรหน้าฟาร์มและราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2547 เป็นต้นมานั้นมีสาเหตุมาจากปัจจัย ดังนี้

1.ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาในตลาดโลก

ในการผลิตสุกรนั้นต้นทุนอาหารสัตว์คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 60-70 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้นการที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสุกรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2547 ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 4 บาทในช่วงต้นปี 2547 เป็นกิโลกรัมละ 8 บาทในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม หรือสูงขึ้นถึง 1 เท่าตัว และราคากากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 12-13 บาทเป็นกิโลกรัมละ 17 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30-40

ปัจจุบันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศมีราคาแพง เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศลดลง จากการที่เกษตรกรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหันไปปลูกมันสำปะหลังแทน รวมทั้งปัญหาภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ผลผลิตปีนี้มีปริมาณน้อย รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมามีการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไปต่างประเทศจำนวนมากกล่าวคือ ปริมาณการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2546 เท่ากับ 189,970 ตัน มูลค่า 1,024 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2545 แล้ว ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 และร้อยละ 43.8 ตามลำดับ

ส่วนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2547 ปริมาณการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เท่ากับ 257,462 ตัน มูลค่า 1,397 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 392.7 และร้อยละ 433.2 ตามลำดับ

ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สำคัญของโลกมีปริมาณการผลิตลดลง ทำให้ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน และมาเลเซียหันมานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากไทย ถ้าเกษตรกรจะหันไปใช้ข้าวหักหรือปลายข้าว และรำข้าวทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อหวังจะลดต้นทุนการเลี้ยงก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากราคาข้าวหักหรือปลายข้าวและรำข้าวกำลังมีราคาพุ่งขึ้นเช่นกัน อันเป็นผลมาจากราคาข้าวที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาในตลาดโลก ปัจจุบันราคาข้าวหักหรือปลายข้าวอยู่ที่กระสอบละ 1,120 บาท ซึ่งสูงขึ้นเกือบ 1 เท่าตัวเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา ส่วนราคารำข้าวก็เพิ่มสูงขึ้นจากในช่วงปลายปี 2546 อยู่ที่กิโลกรัมละ 3.20 บาท มาเป็นกิโลกรัมละ 5 บาทในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2547 นอกจากนี้ทั้งข้าวหักหรือปลายข้าวและรำข้าวยังมีปัญหาขาดแคลนอีกด้วย

ส่วนราคาถั่วเหลืองที่สูงขึ้นนั้นก็เป็นไปตามกลไกของราคาในตลาดโลก จากปัญหาภาวะความแห้งแล้งในสหรัฐฯ อาร์เจนตินาร์และบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ปริมาณการผลิตถั่วเหลืองในตลาดโลกลดลง ถ้าเกษตรกรจะหันไปใช้ปลาป่นทดแทน ซึ่งปลาป่นเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ประเภทโปรตีนเช่นเดียวกับกากถั่วเหลือง ราคาปลาป่นก็มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยกล่าวคือ ปลาป่นคุณภาพดี(โปรตีนร้อยละ 60 ขึ้นไป)ราคาเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 20 บาทในช่วงปลายปี 2546 เป็นกิโลกรัมละ 24.10 บาทในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2547

2.ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้น

ปริมาณความต้องการบริโภคเนื้อสุกรภายในประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันคาดว่าปริมาณความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 122 ล้านตัน จากในช่วงปีปกติความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเฉลี่ยเดือนละ 120 ล้านตันเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อสุกรทดแทนเนื้อสัตว์ปีกโดยเฉพาะไก่ภายหลังจากเกิดวิกฤตปัญหาไข้หวัดนก ปริมาณการผลิตสุกรในตลาดขยายตัวไม่ทันกับความต้องการบริโภค นับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาสุกรเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ความต้องการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนั้นปริมาณการเลี้ยงสุกรขยายตัวไม่ทัน เนื่องจากในปี 2546 ผู้เลี้ยงสุกรประสบปัญหาราคาสุกรมีชีวิตตกต่ำ ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจึงได้ขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงสุกรทุกขนาดฟาร์มและกลุ่มบริษัทต่างๆ ลดจำนวนแม่พันธุ์ในฟาร์มลง โดยการปลดแม่พันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่ำและมีอายุมากออกจากฟาร์มให้มากกว่าปกติ รวมทั้งงดการทดแทนสุกรสาวหรือทดแทนให้น้อยกว่าเดิม ฟาร์มที่กำลังจะขยายการผลิตก็ขอให้ชะลอโครงการไว้ก่อน นอกจากนี้ในช่วงต้นปีอากาศร้อนส่งผลให้สุกรโตช้าไม่ทันกับความต้องการของตลาดอีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 มีปริมาณสุกรเข้าสู่ตลาดน้อยลง

การแก้ปัญหา…คุมราคาขาย นำเข้าอาหารสัตว์

ปัญหาราคาสุกรมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคภายในประเทศ เนื่องจากการผลิตสุกรของไทยส่วนใหญ่นั้นเพื่อป้อนตลาดในประเทศ แนวทางในการแก้ปัญหาของรัฐบาลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของทั้งผู้บริโภค และผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสุกร ก็คือ

1.ควบคุมราคาหน้าฟาร์มและราคาจำหน่ายปลีก

กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ร่วมหารือกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และสมาคมผู้ค้าชำแหละสุกรไทย เพื่อหาทางแก้ปัญหาเนื้อสุกรแพง โดยทั้งสองสมาคมได้ร่วมมือด้วยการปรับลดราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจากเดิมที่อยู่ในระดับ 52 บาทต่อกิโลกรัมเหลือ 50 บาทต่อกิโลกรัม และเนื้อสุกรชำแหละที่เขียงจากราคาปัจจุบัน 105-120 บาทต่อกิโลกรัม มาเป็น 95-100 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2547 เป็นต้นไป

ทั้งนี้กรมการค้าภายในจะทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ค้าส่งและค้าปลีกทั่วประเทศให้ปรับลดราคาเนื้อสุกรเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนด้วย นอกจากนี้หากผู้ค้าปลีกรายใดไม่ติดป้ายแสดงราคาสินค้าและขายเนื้อสุกรแพงกว่าที่ได้มีการตกลงกันไว้จะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษปรับ 140,000 บาท จำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับต่อไป

2.นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์

ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลวัตถุดิบอาหารสัตว์ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 กรมการค้าภายในมีการหารือร่วมกับตัวแทนสมาคมภาคปศุสัตว์ 10 สมาคม(สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้ส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ สมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อเพื่อการส่งออก สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อการส่งออกไทย สมาคมปศุสัตว์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดเพื่อการค้าและการส่งออก สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว) และเห็นตรงกันที่จะให้นำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการดูแลวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้มีการเพิ่มการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 500,000 ตัน ภาษีนำเข้าร้อยละ 0 ภายใน 3 เดือน

โดยเริ่มในวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 (จากที่เดิมกำหนดให้ในปี 2547 นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 54,700 ตัน อากรนำเข้าร้อยละ 20 ระยะเวลานำเข้าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2547 แต่หากนำเข้านอกโควตาที่กำหนดจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 73 ) คาดว่าการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ครั้งนี้จะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดภายในประเทศไม่มากนัก เนื่องจากเป็นการลดภาษีนำเข้าชั่วคราวจนกว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2547

ส่วนการลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราวเพื่อช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงปศุสัตว์ด้วยนั้นยังไม่เป็นที่ตกลง(เดิมนั้นในปี 2547 มีการอนุญาตให้นำเข้ากากถั่วเหลืองได้โดยไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 5 ) เนื่องจากทางผู้เลี้ยงปศุสัตว์เห็นว่าในการเลี้ยงสุกร 1 ตัว มีต้นทุนกากถั่วเหลืองประมาณ 425 บาท การลดภาษีจะทำให้ต้นทุนลดลงประมาณกิโลกรัมละ 0.85 บาท นอกจากนี้ปัจจุบันราคาถั่วเหลืองก็อยู่ในเกณฑ์สูงถึงกิโลกรัมละ 17 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประกันรับซื้อถั่วเหลืองหน้าโรงงานที่กำหนดไว้ที่กิโลกรัมละ 9.50 บาท ปัจจุบันไทยผลิตถั่วเหลืองได้ประมาณ 300,000 ตัน ขณะที่ความต้องการสูงถึง 2.1-2.6 ล้านตัน

แต่ทางสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง เนื่องจากกากถั่วเหลืองคิดเป็นต้นทุนเพียง 0.33 บาทต่อเนื้อสุกร 1 กิโลกรัม และหากอนุญาตให้มีการนำเข้าราคาถั่วเหลืองในประเทศจะลดลงประมาณกิโลกรัมละ 1 บาท ดังนั้นในเรื่องถั่วเหลืองนั้นจะต้องมีการหารือกันใหม่ใน 3 แนวทาง คือ ไม่ลดภาษี ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ในเวลาชั่วคราวหรือถาวร และลดภาษีจากร้อยละ 5 แต่ไม่ถึงร้อยละ 0 ซึ่งหากได้ข้อสรุปอย่างไรจึงจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

ทิศทางราคาสุกรครึ่งหลังปี’47 แนวโน้มปี’48

จากความต้องการบริโภคที่มีแนวโน้มขยายตัว ทำให้คาดว่าปริมาณการผลิตสุกรในปี 2547 จะเท่ากับ 15.6 ล้านตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีว่าจะมีปริมาณการผลิตสุกรเพียง 10.42 ล้านตัว แต่คาดว่าราคาสุกรจะยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2547 เนื่องจากปริมาณการบริโภคสุกรจะยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อันเป็นผลมาจากที่ในปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่และไก่เนื้อยังไม่สามารถเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ได้

เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2547 มีการประกาศว่าเป็นเขตปลอดเชื้อไข้หวัดนก (Free from Desease)หรือเป็นเขตพื้นที่สีเขียว แต่ยังไม่เป็นเขตปลอดการติดเชื้อ(Free from Infection) โดยอยู่ในระยะที่ต้องเฝ้าระวังว่าจะมีกรณีการติดเชื้อเพิ่มเติมหรือไม่ภายใน 21 วันนับจากวันที่ประกาศเป็นเขตปลอดเชื้อไข้หวัดนก หลังจากนั้นนับไปอีก 39 วันสำหรับการเลี้ยงไก่ในโรงเรือนแบบปิด และ 69 วันสำหรับการเลี้ยงไก่ในโรงเรือนแบบเปิดจึงจะมีการเลี้ยงไก่รอบใหม่ได้ ซึ่งเท่ากับว่าปริมาณเนื้อไก่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นเขตแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกจะออกสู่ตลาดได้อย่างเต็มที่คงเป็นประมาณปลายปี 2547 ซึ่งในช่วงนั้นปริมาณการบริโภคเนื้อสุกรจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และราคาเนื้อสุกรจึงจะลดลงตามไปด้วย

สำหรับการอนุมัติให้มีการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นจากโควตาที่กำหนดไว้ในช่วงต้นปี 2547 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศมีแนวโน้มลดลง นับว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตสุกรในช่วงกลางปี 2547 และในช่วงครึ่งหลังปี 2547 ผลผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลืองฤดูการผลิตปี 2547/48 ทยอยออกสู่ตลาด ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลืองจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิต ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไม่สร้างปัญหาทำให้ต้นทุนการผลิตสุกรเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับในช่วงต้นปี 2547

อย่างไรก็ตามในปี 2548 ธุรกิจการเลี้ยงสุกรยังมีความเสี่ยงในการที่จะขยายการผลิต เนื่องจากปริมาณการผลิตทั้งไก่เนื้อและไก่ไข่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคสุกรก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติด้วย ส่วนราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศในปี 2548 นั้นยังขึ้นอยู่กับนโยบายการกำหนดโควตาการนำเข้าและอัตราภาษีการนำเข้า ซึ่งเป็นการพิจารณาในลักษณะปีต่อปี และมีการประกาศในช่วงปลายปีเพื่อใช้บังคับสำหรับปีถัดไป

โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมีประชุมร่วมกันพิจารณาเพื่อกำหนดมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งต้องมีการพิจารณาถึงปริมาณการผลิตในประเทศ ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ รวมทั้งปริมาณการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกประกอบกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เลี้ยงปศุสัตว์มีวัตถุดิบอาหารสัตว์เพียงพอกับความต้องการใช้ ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่เหมาะสม และโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้พืชอาหารสัตว์เป็นวัตถุดิบก็สามารถหาซื้อวัตถุดิบได้ในปริมาณที่เพียงพอและในราคาที่เหมาะสม

บทสรุป

การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาสุกรนั้นมีผลมาจากหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปริมาณการบริโภคที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติในช่วงครึ่งแรกปี 2547 ทำให้ปริมาณการผลิตไม่สามารถขยายได้ทัน ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก อันเนื่องจากปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตสุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงได้เข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการประกาศควบคุมราคาจำหน่ายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มและราคาจำหน่ายปลีกสุกร ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค และวางแนวนโยบายเพิ่มการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์นอกเหนือจากโควตานำเข้าที่กำหนดไว้ในช่วงต้นปี ทั้งนี้เพื่อดึงราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศให้ลดลง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนของผู้เลี้ยงสุกรในช่วงกลางปี 2547 หลังจากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2547 ผลผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในปีการเพาะปลูก 2547/48 ก็จะทยอยออกสู่ตลาด ทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาสุกรคงจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันมากนัก และคาดว่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2547 เนื่องจากความต้องการบริโภคสุกรยังมีอยู่ในระดับสูง และปริมาณผลผลิตทั้งไก่เนื้อและไก่ไข่ที่มีการเลี้ยงรุ่นใหม่จะเข้าสู่ตลาดได้ในช่วงประมาณปลายปี 2547

สำหรับในปี 2548 ถ้ายังคงมีการขยายการเลี้ยงสุกร ผู้เลี้ยงก็เสี่ยงที่จะเผชิญปัญหาราคาสุกรที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณการผลิตไก่เนื้อและไก่ไข่รุ่นใหม่จะเริ่มทยอยออกสู่ตลาด ทำให้ปริมาณการบริโภคสุกรไม่ขยายตัวอย่างมากเท่ากับในช่วงครึ่งแรกปี 2547 ส่วนราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์นั้นยังต้องรอดูมาตรการกำหนดการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งจะมีการประกาศในช่วงปลายปี 2547 แต่ก็คาดหมายว่าราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์มีการขยายปริมาณการผลิต อันเป็นผลมาจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูง